In The Darkness Of Hope

ยิ่งอยู่นานไป ก็ยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างของตัวเรา ในความคิด ในวิธีที่ลงมือทำ จนรู้สึกว่าไม่ได้สอดคล้องกับบริบททางสังคมอีกต่อไป และเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่า เรากำลังอยู่ในสังคมแบบไหนกัน

ถ้าไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนพูด การแสดงความเห็นสาธารณะ ในประเด็นที่ผู้พูดตั้งข้อสังเกตในเรื่องนั้นอย่างเผ็ดร้อนรุนแรง ในงานทึ่แต่ถูกทำขึ้นจากตนในวิชาชีพมากมายหลายคน แต่เมื่อเราฟังแล้ว มันไม่ได้มาจากความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างถ่องแท้ แต่กลับเป็นการกล่าวหาว่าร้าย ให้คนที่มีส่วนร่วมในงานนั้นได้รับการตราหน้าจากสังคมว่าทำผิด เป็นคนไม่ดี การกล่าวหานั้นไม่ได้เป็นไปเพราะต้องการแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นการทำเพื่อให้ผู้กระทำนั้น ได้ประโยชน์ส่วนตนในการลงมือทำเช่นนั้น ทำให้แสงสว่างสาดส่องมาใส่ตน ในขณะที่ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งตกเป็นจำเลยทางสังคม โดยไม่มีหลักฐาน เหตุผลใดๆมาสนับสนุนการกล่าวหานั้น สำหรับผม มันเป็นความสกปรกที่ไม่น่าจะอดทนได้

ยิ่งถ้าการกล่าวหานั่นทำให้วิชาชีพหนึ่งต้องถูกลดคุณค่าไปอย่างไม่เป็นธรรม ก็จะทำให้เกิดผลกระทบที่ต่อเนื่องยาวนาน และถ้าไม่มีใครลุกขึ้นมาโต้แย้งการกระทำนั้นด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักวิชาการ บทสนทนาสาดโคลนที่ไม่เป็นธรรมนี้ ก็จะคงอยู่ในสังคมแบบเลื่อนลอยต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้พูดฝ่ายหนึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ มีผู้ติดตามเชื่อฟัง เป็นจำนวนมาก การรอให้กลไกลทางสังคมในภาวะปรกติจัดการสร้างสมดุลความถูกต้องให้เกิดขึ้น น่าจะเป็นเรื่องชักช้าไม่ทันการ และความเสียหายในทางวิชาชีพน่าจะเกิดขึ้นไปในวงกว้าง จึงคิดว่าต้องมีใครบางคนลงมือทำอะไรบางอย่าง เพื่อหันเหทิศทางของบทสนทนานั้นให้เกิดสมดุลของการโต้แย้ง ในวิธีที่สร้างน้ำหนักของการโต้แย้งได้เท่าเทียมกัน เพื่อให้บทสนทนานั้นเกิดสมดุลของการโต้แย้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แต่ดูเหมือนสังคมไทยในปัจจุบัน ไม่ได้คงอยู่ในลักษณะที่อยากเห็นสมดุลของการโต้แย้งนั้น เขาอยากเห็นคนที่เขารัก เขาชอบ เป็นผู้ชนะ โดยไม่ต้องยึดโยงกับเหตุผลใดๆ การแสดงความเห็นสาธารณะไม่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่พูดอย่างแท้จริง ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องได้ แม้จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าการให้คำปรึกษาใดๆในวิชาชีพ พึงจะทำโดยผู้ที่อยู่ในวิชาชีพเท่านั้นก็ตาม สังคมไทย ไม่ได้แสวงหาความถูกต้อง แต่กลายเป็นสังคมเถื่อนแบบพวกมากลากไป ลากคนที่เห็นต่างออกมาตบ มากระทืบ มาด่าทอแบบไม่มีเหตุผล รวมทั้งกุเรื่องให้ร้าย บิดเบือนเพื่อให้เขาเสียหาย โดยไม่เคยคิดถึงผลกระทบใดๆที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคลนั้นๆเลย จนกลายเป็นความเมามันที่สำรอกเอาความกักขฬะออกมาจนหมดความเป็นมนุษย์ สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่น่ากลัวจนคาดไม่ถึง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ลงมือกระทำเหล่านั้น เป็นนักการเมือง เป็นคนที่เป็นตัวแทนประชาชน เป็นคนที่อ้างว่ามีอุดมการณ์เพื่อประชาชน เพื่อสาธารณะ กลับมีทัศนคติที่แคบและสุดโต่งทางความคิด การกระทำที่รุนแรงไร้จริยธรรม รบอย่างใดก็ได้เพื่อให้ได้ชัยชนะ จะปล้นฆ่าทุกคนที่ไม่ใช่พวกตนได้ทุกวิธี ผมนึกไม่ออกเลยว่าถ้าคนแบบนี้ได้อำนาจปกครองไป สังคมไทยที่เห็นต่างจากพวกเขา เราจะมีชีวิตกันได้อย่างไร

ผมรู้สึกสลดหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ที่จากความปราถนาดีในการสร้างสมดุลของการโต้แย้งในบทสนทนาสาธารณะ กลายมาเป็นการทำร้ายกันด้วยความรุนแรงในก่อการร้ายทางสังคม กลายเป็นความป่าเถื่อนที่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เห็นต่าง ลากตัวเขาออกมาบิดเบือน กล่าวหา รวมไปถึงการงาน ธุรกิจ หรือแม้ทั่งชีวิตของคนรอบข้าง ต่างก็ถูกทำร้ายอย่างเมามัน มันเป็นเรื่องเศร้าที่น่าเจ็บปวด และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อเห็นสังคมไทยกำลังถูกขับเคลื่อนไปสู่ความหายนะนี้ โดยไม่มีใครคิดจะต่อต้าน ไม่มีใครคิดที่จะสู้ หรือเปลี่ยนแปลงมันให้ถูกต้อง สังคมไทยดูเหมือนจะยอมจำนนกับความป่าเถื่อนนี้ คนในวิชาชีพอื่นๆกลัวจนหัวหดหาย สมาคมวิชาชีพและสภาวิชาชีพก็เงียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นความวิบัติทางสังคมที่น่ากลัวมาก และน่าหดหู่ไม่แพ้กัน

ไม่แน่ใจเลยว่าจากนี้ ตัวผมเองควรจะเดินทางต่อไปในชีวิตที่เหลืออย่างไร ควรจะเป็นหมาบ้าที่ทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เพื่อนำทางไปสู่ที่ราบของการคงอยู่แบบใหม่ หรือควรใช้ชีวิตเป็นท่อนไม้แห้งที่ลอยตามกระแสน้ำไปวันๆหนึ่ง รอให้ไปเกยตื้นที่ไหนซักแห่งแล้วก็เปื่อยยุ่ยจนเป็นผุยผง สลายให้ไปในอากาศที่เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรม อคติที่ปราศจากเหตุผล ในโลกอันมืดมิดที่ปราศจากแสงสว่างแห่งความหวังแห่งความเจริญก้าวหน้า และสูญสลายไปในความสิ้นหวังนั้น

Submit a comment