Interview 285 ดวงฤทธิ์ บุนนาค If the Earth Stopped Spinning / When the Earth Stops Spinning Text : วสิน ทับวงษ์ Photo : สรวิชญ์ หอมสุวรรณ
สืบเนื่องจากเหตุภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงมากขึ้นในระยะหลังมานี้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ ล้วนก่อให้เกิดความแตกตื่นมากกว่าการตระหนักรู้เท่าทัน บวกกับกระแสข่าวลือคำทำนายถึงวันสิ้นโลกจากตำนานต่างๆ แม้แต่ “โลกจะแตกในปี 2012!!!” ถูกหยิกยกมาพูดถึงผ่านสื่อสารมวลชน แล้วกลายเป็นภาพยนตร์ยอดนิยม ฯลฯ เหล่านี้ แทนที่จะส่งผลให้กระบวนการทางปัญญาทำงานผ่านคำถาม “ทำไม” “อย่างไร” กลายเป็นเพียงแค่ “อะไร” “เมื่อไหร่”
ไฮคลาสขอจุดประกายแห่งปัญญาผ่านการสนทนาเรื่องราวทางโลกและเลยไปถึงทางธรรมกับสถาปนิกชื่อดังคนหนึ่งของประเทศ ดวงฤทธิ์ บุนนาค ณ โต๊ะสนทนาเดิมที่เคยพูดคุยกันเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (Hi-class No.246) หากแต่เปลี่ยนประเด็นการสนทนาจากเรื่องสถาปัตยกรรมล้วนๆ ชวนมาถกเรื่องพิบัติภัยธรรมชาติ เรื่องชีวิต และอื่นๆ ภายใต้หลักการทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนา
ในสำนักงานบริษัท ดวงฤทธิ์บุนนาค จำกัด (DBALP) บนชั้น 28 อาคารสยามทาวเวอร์ อันเป็นหนึ่งในตึกสูงกลางกรุง เราเริ่มคุยกันเรื่องแผ่นดินไหวและการเปลี่ยนแปลงของโลก ภายหลังจาก 24 ชั่วโมงที่ข่าวแผ่นดินไหวสองครั้ง 4.5 และ 5.3 ริกเตอร์ ในเวลาไล่เลี่ยกันในสเปนถูกเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน
ไฮคลาส : คุณใช้หลักการและเหตุผลทั้งวิทยาศาสตร์และเหตุผลในทางพุทธศาสนาตอบโจทย์ของเหตุที่เกิดขึ้นเหล่านั้นอย่างไร
ผมไม่ได้มีความรู้มาก แต่ผมพูดถึงในทางวิทยาศาสตร์มีวิธีคิดอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ Newtonian Paradigm คือวิธีการคิดแบบนิวตัน การคิดแบบเป็นตรรกะ เช่น 1+1 เป็น 2 ทุกอย่างจะนำไปสู่จุดหมายปลายทางอันเดียว เป็นวิธีการที่เรียกว่าเป็น linear (เป็นเส้นตรง) กับอีกแบบหนึ่งคือวิธีการคิดวิทยาศาสตร์หลังนิวตัน หรือ Post Newtonian Paradigm โดยมีแนวคิดวิทยาศาสตร์หลายแนว เช่น Chaos Theory พวกทฤษฎี Complexity Theory พวกนี้จะพูดถึงวิทยาศาสตร์อีกแบบหนึ่ง คือพูดถึงวิทยาศาสตร์ที่ไปในแนวทางธรรมชาติ ผมพูดเรื่องพวกนี้ในพื้นฐานองค์ความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ สำหรับ Complexity Theory หรือ Chaos Theory มันก็พูดเรื่องความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์ธรรมชาติไว้ได้น่าสนใจ
เรากำลังบอกว่า ในระบบใดๆ ก็ตามมันมีความเคลื่อนไหว ระบบที่มีความเคลื่อนไหวนี้ถ้าในวิทยาศาสตร์เก่าจะบอกว่า เคลื่อนจากจุดๆ หนึ่ง วิทยาศาสตร์จะมีทฤษฎีต่างๆ เช่น Big Bang Theory ที่บอกว่าเริ่มจากจุดๆ หนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เขาจะบอกว่าทุกอย่างปรับตัวเข้าสู่สภาพสมดุล เมื่อพูดถึงการปรับตัวเข้าสู่สภาพสมดุลมันจะมีลักษณะเป็น Curve (คลื่น) ขึ้นและลง มันไม่ใช่การทะยานขึ้นลงเป็นเส้นตรง โดยจุดสมดุลก็คือ มันมีสมดุลและมีความวุ่นวายเกิดขึ้น ถึงจุดหนึ่งเมื่อวุ่นวายสุดขีดแล้วก็ปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ แล้วที่ผ่านมาธรรมชาติอยู่ในระบบนี้ตลอด ไม่ว่าระบบใดในธรรมชาติเมื่อเกิดความโกลาหลแล้วจะกลับมา ถ้าคุณดูง่ายๆ ก็คือ น้ำในแก้วนี้ ถ้ามันมีความร้อนก็จะเดือด ซึ่งจังหวะที่มันเดือดก็จะวุ่นวายมาก แล้วกลายเป็นไอ เมื่อเป็นไอก็จะนิ่ง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Thermodynamic Universe เป็นหลักธรรมชาติโดยทั่วๆ ไปของสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิตในธรรมชาติจะเป็นอย่างนี้ พูดแล้วเครียดเลยมั้ย…
ไฮคลาส : ถ้าหากมองเป็นพุทธศาสตร์ก็คือมีเกิดและดับเป็นวงจร
พูดถึงสมดุลมากกว่า ทุกอย่างมันมีการถ่วงดุลกันอยู่ในสมดุล จะพูดเป็นแนวความคิดแบบเต๋าก็ได้เรื่องของความสมดุล หรือความคิดแบบพุทธก็ได้ ฉะนั้นมันไม่มีการเดินทางไปสู่จุดๆ เดียว อุดมคติของพุทธศาสนาคือ นิพพาน การเดินไปสู่จุดสุดท้ายที่หลุดไปจากวัฏฏะ คือมีองค์ประกอบเดียว แต่ถ้าพูดถึงเชิงวิทยาศาสตร์ปัจจุบันระบบจะเคลื่อนตัวเป็นวงจร ฉะนั้นจุดที่เรามาอยู่ตรงนี้มันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นนะครับ เริ่มต้นเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายได้ แต่ถามว่าโลกแตกไหมผมบอกได้ว่ามันไม่แตก ผมถึงแย้งประเด็นเรื่องโลกแตกหรือไม่ ผมไม่เชื่อว่าโลกแตก
เนื่องจากธรรมชาติมีขนาดใหญ่มาก องค์ประกอบทั้งหมดมันเป็นไปได้มากว่าจะมีแรงใดๆ ไม่ว่าแรงจากพายุสุริยะ หรือแรงจากอื่นๆ ที่ทำให้มวลของโลกทั้งหมดเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา สิ่งที่เราเจอตอนนี้มันอยู่ผิวหน้า เป็น Tectonic หมด ก็คือ เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก เกิดจากอุณหภูมิของโลกเปลี่ยนแปลงเนื่องจากก๊าซเรือนกระจก กระแสน้ำอุ่นน้ำเย็นเปลี่ยนทิศทาง เกิดการเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ เพราะมันมีการเคลื่อนตัว แต่สุดท้ายเมื่อมันเคลื่อนตัวเสร็จก็เข้าสู่สมดุล หยุดเคลื่อนตัว
แต่ตอนนี้เป็นจุดที่มันเริ่มเคลื่อนตัว เริ่มมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น แต่ถ้าถามว่าทุกพื้นที่ได้รับความเสียหายทั้งหมดเลยหรือเปล่า จนมีคนพูดถึงมนุษยชาติจะถูกทำลายล้างไปหมด มันเป็นไปไม่ได้แต่มันคงมีความเดือดร้อนพอสมควร เนื่องจากการที่เปลือกโลกมันเคลื่อนตัวจึงเกิดปัญหาโดยเฉพาะจุดที่เป็นแนวต่อของเปลือกโลก ญี่ปุ่นนี่ผมว่าคงจะมีปัญหาแผ่นดินไหวอีกสักระยะหนึ่ง ที่แถบนั้นมีปัญหาเพราะว่าอยู่ในแนวแผ่นเปลือกโลก ผมจะให้ดูจากแผนผังข้อมูล…
ถ้าคุณจับตาดูก็จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องของแผ่นเปลือกโลก หลังสุดที่เราคุยกันอยู่ที่แผ่นดินไหวในจีน ซึ่งเหล่านี้คือแนวของเปลือกโลกที่แผ่นหนึ่งมาชนกับอีกแผ่นหนึ่ง เมื่อมันชนแล้วเคลื่อนตัวชิ่งกันไปชิ่งกันมาแต่ลองดูที่ประเทศไทยอยู่ที่กลางแผ่นเลย บุญแท้ๆ โอกาสที่เราจะเดือดร้อนนี้ยากมาก ของเราเป็นจุดที่ไม่น่ากลัวที่สุด แต่เรื่องผลกระทบครั้งหลังสุดก็คือรอยเลื่อนแม่จัน เป็นรอยเลื่อนนิดเดียว ดังนั้นโดยศักยภาพแล้วประเทศไทยเราอยู่ในจุดที่ค่อนข้างโชคดี เมื่อตอนที่เราโดนสึนามิมาจากทางมหาสมุทรอินเดีย แต่ในส่วนของอ่าวไทยนั้นมีจุดกำบังหากเกิดการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลกแถบฟิลิปปินส์กว่าจะมาถึงต้องอ้อมหลายจุดมากๆ ก็โดนบังเสียเยอะแล้วก็ค่อนข้างปลอดภัย การที่บอกว่าสึกนามิจะเข้ามาท่วมกรุงเทพฯ ผมดูแล้วคิดว่าเป็นไปไม่ได้
ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่ผมดูด้วยตรรกะของมนุษย์ธรรมดาดูแล้วก็บอกว่า เอ๊ะมันไม่น่าจะเป็นไปได้ อาจจะเกิดขึ้นได้แต่ไม่ง่าย แต่ทำไมมีคนพยายามพูดให้มันดูน่ากลัวผมก็ไม่เข้าใจ! ผมแค่รู้สึกว่า เอ๊ะ… ถ้าสรุปแล้วผมผิดหมด แต่ถ้าไปอ่านพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าบอกว่าพระพุทธศาสนาจะอยู่ในดินแดนตรงนี้แหละถึง 5,000 ปี นี่เพิ่งผ่านมา 2,500 กว่าปี ซึ่งไม่เห็นมีใครเอามาพูดนะ ถ้าหากพุทธศาสนาอยู่ถึง 5,000 ปี ก็แสดงว่าอย่างน้อยอีกเกือบ 2,500 ปี กว่าจะตายกันหมดหรือโลกแตกซึ่งไม่มีใครพูด แต่กลับไปหยิบยกเอาพยากรณ์นู่นนี่ ปฏิทินเปรู นอสตราดามุส ฯลฯ แต่พระพุทธเจ้าก็พูดไว้แล้วนี่ว่าอยู่ถึง 5,000 ปีแต่ไม่มีใครเอามาคิด
ส่วนตัวผมก็ดูจากหลักฐานทางกายภาพทั้งหมดมันเป็นไปได้ยาก ประเทศอื่นผมไม่ทราบนะ แต่ประเทศไทยจะถึงขนาดล่มสลายมีคนตายดังที่มาขู่กันว่าจะต้องหนีไปปลูกกระต๊อบอยู่จังหวัดเลย เพราะน้ำจะท่วมประเทศไทยทั้งหมด…ผมว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เหมือนหมอดูฮวงจุ้ยนะคุณ(หัวเราะ)กลไกเดียวกัน คือ มีคนได้ประโยชน์จากตรงนี้ มีคนที่รู้สึกว่าผมมีความสำคัญจากตรงนี้ในการที่ออกมาบอกโลกจะแตก มีคนมาสนใจผมเรียกมาสัมภาษณ์ หนังสือมาขอสัมภาษณ์ แล้วเกิดเป็นเรื่องเป็นราวคนก็ได้ผลประโยชน์จากการตลาดตรงนี้ แต่ผมไม่เชื่อแบบนั้น ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ผมเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง มีหายนะ มีภัยพิบัติ แผ่นดินไหว เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ซึ่งมันก็พิสูจน์แล้วว่า เราก็รู้สึกว่ามันคงจะเกิดช่วงนี้แหละ
ที่ผ่านมาเมื่อวาน (12 พ.ค. 2554) มีข่าวดาวหางวิ่งไปชนดวงอาทิตย์ก็มีคนบอกว่าเดี๋ยวโลกต้องแตกแน่เลย คุณรู้ไหมว่ามันชนมาตลอดเลยนะ มันไม่ใช่ดาวหางด้วยนะครั้งนี้เป็นสะเก็ดอะไรสักอย่างแล้วเผอิญว่ามันใกล้ดวงอาทิตย์ก็เลยมีหางมองเห็นว่าเหมือนดาวหาง ตอนที่มันชนครั้งใหญ่ที่สุดคือวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมาอันนั้นใหญ่ที่สุด คือ การระเบิดของ CME (การระเบิดในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์) ใหญ่ที่สุดแต่ไม่เห็นมีใครพูดอะไรเลยแต่พอช่วงนี้มาพูดกันเชียว แค่มีสะเก็ดดาววิ่งเข้าไปชนดวงอาทิตย์ก็พูดกันว่าเอาละโว้ยเดี๋ยวจะมีพายุสุริยะ แม่เหล็กจะเคลื่อน มีคนหนึ่งโพสต์อยู่ในเว็บฯ ผมก็อ่านมาแล้ว
ผมคิดว่าไม่ควรจะเริ่มต้นด้วยการให้ข้อมูลด้วยความกลัว ต้องพูดกันด้วยเหตุผลว่าจะเกิดอะไรและเกิดสิ่งนี้เพราะอะไร ถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เห็นทีวีเอาคนที่พูดเป็นเรื่องเป็นราวมาออกเลยนะ เอาแต่คนแบบหมอดูบ้าง นักพยากรณ์บ้าง แต่ไม่มีใครเอาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาพูดเลยเช่นกางแผนที่โลกให้ดูแล้วชี้ให้เห็นแผ่นเปลือกโลกแต่ละแผ่นเคลื่อนไหวอยู่ ไม่มีใครพูด คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไม เพราะมันไม่มีไงล่ะ พอเอาวิทยาศาสตร์มาพูดก็จะไม่มีเหตุผลพอที่จะมาคุยได้ว่ามันจะต้องเกิด ไม่มีใครพูดได้ว่ามันจะต้องเกิด แต่ทุกคนรู้ว่าตอนนี้เพลท Tectonic มันเคลื่อนแล้วมันก็เคลื่อนไปก็เกิดจากเรื่องของโลกร้อน กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยน แกนโลกอาจจะเฉียงอีกนิดหน่อย ก็ว่าไปมันเหมือนกับลูกกลมๆ หมุนตลอดเวลาบางที่หมุนไปสักพักมันก็เบื่ออาจจะมีบิดเบี้ยวไปบ้าง อาจจะมีเรื่องของแกนโลกมาเกี่ยวข้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายทุกอย่างจะปรับตัวเข้าสู่สมดุล ผมไม่รู้ว่าไอ้สมดุลของมันอาจจะอีก 100 ปีข้างหน้าก็ได้นะ แต่สุดท้ายก็จะเข้าสู่สมดุล ธรรมชาติมันมีวิธีแก้ไขปัญหาของมันเอง
ไฮคลาส : พูดๆ กันไปเรื่อยๆ จนมองไปถึงว่าจะสูญพันธุ์เหมือนไดโนเสาร์ ซึ่งคุณไม่เชื่อว่าแม้แต่ไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ด้วยเหตุเพียงเหตุเดียว
ต้องเข้าใจว่าไดโนเสาร์กว่ามันจะสูญพันธุ์นี้ใช้เวลานานมากนะ ในเวลาที่มันสูญพันธุ์มันอาจจะเร็วในแง่ของเรคคอร์ดเพราะมันอยู่มาหลายร้อยหลายพันปี แต่ว่ากว่ามันจะหมดเกลี้ยงผมเข้าใจว่าเป็นร้อยปีนะกว่ามันสูญพันธุ์ไปจนหมด มันคงค่อยๆ ตาย แต่พอดูในช่วงประวัติศาสตร์อาจจะยกในช่วงล้านปีว่ามันตายเร็วนะในช่วง 500 ปีมันตายเกลี้ยงเลย แต่มันไม่ได้เร็ว ต้องใช้เวลา ผมก็คงตายด้วยการหมดสภาพไปก่อนนะผมไม่ต้องกลัวอะไร
แต่ผมเชื่อเรื่องระบบของธรรมชาติ กลับไปดูธรรมชาติให้ดี ผมว่าต้นไม้หนึ่งต้นทิ้งมันไว้ในธรรมชาติกว่ามันจะตายถ้าคนไม่ไปตัดโอ้…ยาก ธรรมชาติมีวิธีในการปรับตัวของมันเอง มหาสมุทรเอย ทุกอย่างมันมีการปรับตัวตามกลไกของมันเอง แล้วหลักการธรรมชาติคือสมดุล ทุกอย่างจะปรับตัวเข้าสู่สมดุล ทุกวันนี้มันมีความเสียสมดุลในจุดหนึ่งมันก็เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกจุดหนึ่ง พอเขย่าไปเขย่ามาสักพักมันก็จะลงตัว ทุกอย่างเป็นแบบนี้ กราฟของ Thermodynamic Universe จะเป็นแบบนี้ เรียกว่า Equilibrium (ดุลยภาพ) ไปถึงอีกจุดหนึ่งก็จะเป็นวัฏจักรแบบนี้ มันก็จะเป็นไปเรื่อยๆ ของเราในตอนนี้ผมคิดว่าเพิ่งจะเริ่มไต่ไปที่ FFE เท่านั้นเอง
มันเป็นไปได้ยากมากที่ธรรมชาติจะเกิดปัญหาล่มสลายทั้งระบบ ถ้าเกิดแบบนั้นจริงโลกคงจะล่มสลายไปก่อนหน้านี้แล้วล่ะมันไม่มีทางจะดำรงอยู่มานานจนผมไม่รู้ว่ากี่หมื่นล้านปีและมีวิวัฒนาการมาตลอด ฉะนั้นโอกาสที่จะอยู่ดีๆ ภายในช่วงชีวิตผมแล้วมันไม่เสถียรโลกจะแกว่ง หลุด สะบัด แตก มันเป็นไปไม่ได้ โลกนี้ใหญ่มากนะ แต่ถ้าคุณเอาลูกบอลลูกเล็กๆ มาลูกหนึ่งแล้วปั่นไปลูกบอลนั้นล้มก็โอเค แต่ยิงลูกบอลใหญ่นี้ก็ต้องมีพลังงานมากขึ้นกว่าจะปั่นได้ แล้วระบบมันเสถียรโอกาสจะทำให้ระบบเสียสมดุลได้เร็วก็เป็นไปได้ยากกว่าลูกเล็ก โลกก็เช่นกัน ยิ่งขนาดใหญ่มาก…มันเป็นไปไม่ได้
ไฮคลาส : ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องตระหนักคืออะไร
เราต้องรู้ว่า 1) ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง ในแง่ของพุทธศาสนาพูดไว้ชัดเจนว่า ไม่มีอะไรที่ดำรงคงอยู่ในสภาพนั้นตลอดไป เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติดกับมัน ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ชีวิตเราจะต้องตายแน่ไม่ต้องห่วง จะตายเมื่อไหร่ผมไม่ทราบ การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปรกติ ฉะนั้นอย่าไปกลัวมัน เราจะต้องรู้จักเรียนรู้การเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติเองมีการเสียสมดุลเป็นระยะตลอดเวลาแต่มันปรับเข้าสู่ความเสถียร ฉะนั้นมันก็มีการเปลี่ยนแปลง แค่เข้าใจถึงหลักการตรงนั้น และ 2) อย่าตื่นตระหนก มีสติ ผมอยากให้มีสติมากๆ เมื่อมีแผ่นดินไหวด้วยเหตุและผลเราดูแล้ว เอาล่ะประเทศอื่นผมไม่รู้ล่ะแต่ประเทศไทยผมว่าค่อนข้างจะปลอดภัยพอสมควรเมื่อดูจากภูมิศาสตร์แล้วน่าจะปลอดภัย มีสติ แล้วก็อย่าประมาท เท่านั้นเอง ชีวิตก็ประมาณนี้ ดำรงต่อไป
กลัวแล้วได้อะไร? กลัวแล้วคุณแก้มันได้เหรอ? เมื่อมีคนบอกว่าโลกจะแตกแล้วพรุ่งนี้ แล้วไงล่ะ คุณหยุดมันได้ไหมล่ะ แล้วคุณจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร แต่ถ้าคุณใช้ชีวิตอย่างมีสติบอกว่าเออ…ยังไงกูก็ตาย ตายแน่ เรามีสติรู้ว่ายังไงก็ตายแน่ มันไม่ตายวันนี้ก็ตายพรุ่งนี้ ไม่ตายพรุ่งนี้ก็ตายมะรืน แล้วยังไง โลกมันจะแตกพรุ่งนี้แล้วยังไง ผมว่าเป็นเรื่องของวิธีคิด และประเด็นที่มีคนพูดเรื่องเหล่านี้เป็นบททดสอบที่สำคัญนะ ทำให้เรารู้สึกเข้าใจมากขึ้นว่าคนนั้นจิตใจมันอ่อนแอขนาดไหน สภาพสังคมเรานี้อยู่ในภาวะอะไร มันบ่งชี้ได้ชัดมากว่า ตอนนี้คนไทยสภาพทางจิตโดยภาพรวมจิตใจมันอ่อนแอมากนะ ขาดหลักยึดอย่างแสนสาหัส คนที่บอกว่ามีความเข้าใจในศาสนาก็กลายเป็นว่าเอาศาสนามาทำให้กลัวหนักเข้าไปอีก ผมมองเรื่องนี้เป็นการบ่งชี้วัดว่าคนเรานั้นจิตมันอ่อนแค่ไหน ฉะนั้นคนที่จิตอ่อนก็จะกลัว แต่ผมถามว่ากลัวแล้วได้อะไร ตอบผมได้ไหว ถ้าหากใช้พลังจิตสู้โลกแล้วแผ่นจะไม่ไหวเหรอ คุณหยุดมันไม่ได้ ไม่ต้องกลัว มันเป็นไงก็เป็นกัน
คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่ผมนับถือมากนะ ทุกวันนี้ก็ยังนับถือ คุณดูคนญี่ปุ่นเจอเข้าไปแบบนี้เห็นสักคนไหมที่กลัวแล้วไม่อกมาทำงาน น้อยมากเลยนะ ทุกคนมีจิตใจเข้มแข็งมีสปิริต ทุกคนเดินหน้าต่อไป มีกำลังใจเดินต่อไป ผมกลัวแค่ว่าประเทศไทยถ้าเราหล่อหลอมด้วยการเอาความกลัวเป็นที่ตั้ง วันหนึ่งหากเกิดหายนะขึ้นมาเราจะไปอยู่จุดไหนล่ะ ถ้าเราสั่งสอนกันว่าคุณไม่ต้องกลัว มีสตินะ เตรียมพร้อมรับอะไรที่คุณป้องกันเตรียมตัวได้คุณเตรียม คุณมีสติพร้อมรับ แต่คุณอย่ากลัวมัน อย่าไปทำให้สังคมทั้งหมดกลัวไปหมด พอถึงเกิดเหตุขึ้นมาทำอะไรไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ ฉะนั้นต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง
ไฮคลาส : ในแง่ของการทำงานเมื่อมีข่าวโลกจะแตกออกมามีผลต่อผู้บริโภค ต่อลูกค้าของคุณแค่ไหน
ประเทศไทยนะคนไทยเป็นประเภทที่หวั่นไหวกับข่าวลือทุกประเภท ทุกอย่างไม่ว่าจากการเมืองหรือเรื่องอะไร เมื่อมีคนบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ปฏิวัติฯ ก็กลัวกลับบ้านกลับช่องปิดประตู เราเป็นชนชาติซึ่งมีวัฒนธรรมที่อ่อนไหวกับข่าวลือมาก และไอ้พวกนี้เล่นสนุกมาก ใครอยากจะกุข่าวลืออะไรก็กุได้สนุกมาก เพราะว่าคนไทยนี่เล่นด้วยกับทุกข่าวลือ
ผมว่าจริงๆ แล้วคนที่ได้เปรียบจากข่าวลือก็คือสื่อ นี่ผมพูดแบบแฟร์ๆ นะ สื่อโทรทัศน์ รายการทีวี อย่างสรยุทธ์นี่มีข่าวลือเมื่อไหร่พี่แกรวยเลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วสื่อนี่แหละเป็นเรื่องที่ต้องมาคุยกันนะ สื่อมวลชนนี่ต้องคุยกันว่าคุณพูดถึงเรื่องจริยธรรม จรรยาบรรณของสื่อมวลชน ไอ้ตรงนี้คุณเคยคุยกันหรือเปล่าว่าคุณมีจรรยาบรรณพอในการนำเสนอหรือเปล่า หรือคุณแค่เห็นว่าข่าวผมขายได้ ผมมีเรตติ้ง…ผมตี มีกระแสให้โหน มีกระแสให้ตี แล้วผมเก็บตังค์ โทรทัศน์ขายโฆษณา อย่าบอกว่าคุณทำโดยมีจรรยาบรรณแล้วไม่หวังผลประโยชน์มันไม่ใช่ แต่ว่าคุณจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าสิ่งที่คุณนำเสนอตรงนี้มันเป็นประโยชน์แก่คุณหรือประโยชน์แก่สังคม คุณนำเสนอไปแล้วสังคมอะไร ได้ความจริงจริงหรือเปล่า เมื่อคุณเอาหมอดูมาออกทีวีแล้วหมอดูบอกว่าโลกจะแตก ไอ้ความจริงนี้มันเป็นความจริงที่จริงหรือเปล่า แล้วนำเสนอไปแล้วสังคมได้อะไร อย่าลืมว่ามีชาวบ้านที่ไม่มีการศึกษานั่งฟังอยู่เขาก็ตระหนกว่าพรุ่งนี้โลกแตก…ฆ่าตัวตายก่อนเลย เคยคิดว่าพวกนี้เป็นความรับผิดชอบของสื่อหรือเปล่า นี่ผมสงสัย ตรงนี้คนที่ทำทางด้านสื่อมวลชนด้วยกันเองต้องมานั่งคุยกัน ว่าเราหรือเปล่าที่ทำให้สังคมไทยบิดเบี้ยวไปขนาดนี้ พวกเราหรือเปล่าที่นั่งคิดกันแต่ความมันส์ของพวกเรา หรือความตื่นเต้นในการนำเสนออะดรีนาลินของพวกเราในการนำเสนอประเด็น หรือการนำเสนอเรื่องที่ตื่นเต้นมาก มันมีประโยชน์อะไรกับสังคมหรือเปล่า เนอะ..
ไฮคลาส : ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อไม่ได้ให้คำตอบที่แท้จริงว่าจะนำไปสู่อะไร เพียงแต่ย้ำว่าเกิดแบบนี้
แล้วไม่ได้บอกอธิบายเหตุผลด้วยว่าเกิดเพราะอะไร เกิดได้เพราะอะไร สุดท้ายแล้วก็สนุกกับการเสนอความกลัว เออจริงๆ คนไทยชอบดูหนังสือ ชอบโดนหลอก คนไทยมีความตื่นเต้นจากการโดนหลอก ชอบดูละคร คนไทยชอบเอาตัวเองหลุดออกไปจากโลกแห่งความเป็นจริง ละครเราก็โคตรจะดราม่า โคตรจะไม่จริง บางประเด็นก็อาจจริง บางประเด็นก็อาจจะเกินจริง แต่เราก็ไม่รู้นะว่ามันเกินจริงแล้วสังคมก็เลยเกินจริงตามละคร หรือละครเป็นตัวสะท้อนสังคม อันนี้เราเริ่มไม่แน่ใจแล้ว นี่เป็นเรื่องของปัญหาของสังคมไทยโดยรวม จากข่าวโลกจะแตกก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยเราในแง่ความคิด อุดมคติ คตินิยม ของสังคมนั้นเรากำลังยืนอยู่ที่จุดไหน
ไฮคลาส : เป็นเพราะกระแสต่างๆ ถูกจุดและโหมมาจากในเมือง คนในเมืองขาดหลักยึดหรือเปล่า
ส่วนหนึ่งนะ แต่ผมว่าหลักยึดเป็นเรื่องของการคิดเป็นตรรกะ การหาเหตุหาผลอย่างเป็นตรรกะมากกว่าการฟัง จริงๆ แล้วคนไทย การศึกษาของไทยไม่ได้ฝึกให้เด็กคิดแบบเป็นตรรกะ แต่ฝึกให้เด็กท่องจำ ให้เด็กเชื่อ มันก็สอดคล้องกันเลยเมื่อมีคนมาบอกว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกก็เชื่อเพราคุณถูกฝึกมาให้ท่องจำ คุณไม่ได้ตั้งคำถามว่าทำไมโลกจะต้องแตก เหมือนกับตอนที่คุณไม่ยกมือถามครูเมื่อครูบอกว่าพรุ่งนี้โลกแตกนะครับนักเรียน แต่ไม่มีเด็กคนไหนยกมือถามว่าทำไมโลกจะแตกครับ โลกแตกได้อย่างไร เราไม่ได้สอนกันมาอย่างนี้ ฉะนั้นสังคมไทยก็เป็นแบบนี้ เมื่อบอกว่าพรุ่งนี้โลกแตกก็หนีกันหัวซุกหัวซุน แทนที่จะบอกว่าขั้นแรกจะแตกตรงไหนก่อนแล้วจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรชี้ชัดว่ามันจะแตก แล้วโอกาสที่มันจะแตกนั้นมีเท่าไหร่ เราไม่พูดตรงนั้นแต่เราพูดกันในเรื่องความเชื่อเป็นหลัก แล้วบังเอิญก็มีคนได้ประโยชน์ จึงเป็นเรื่องที่ว่าตามๆ กันไป
ไฮคลาส : เคยมีลูกค้าให้ออกแบบอาคารเพื่อต้านกับสึนามิหรือภัยพิบัติที่จะเกิดในอนาคต
ผมโดนประจำ อย่างแผ่นดินไหว ผมก็อธิบายไปว่าจริงๆ แล้วไม่มีตึกไหนออกแบบเพื่อป้องกันแผนดินไหวได้แน่ เราไม่รู้หรอกว่าแผ่นดินไหวจะเกิดแบบไหน และเมื่อไหร่ การเกิดแผ่นดินไหวมีแบบที่แผ่นเปลือกโลกเขย่า(แนวราบ/ซ้าย-ขวา) แบบนี้ไม่ยาก ถ้าเขย่าแบบนี้ผมสบาย เพราะว่าการเขย่าแบบนี้เขาเรียกว่าโหลดด้านข้างซึ่งตึกนี้ออกแบบรับแรงลมเหมือนกัน เวลาลมพัดตึกก็แกว่งแบบเดียวกันกับข้างคล้าย ฉะนั้นมันรับได้อยู่แล้ว ปรกติตึกพวกนี้ออกแบบรับแรงลมได้ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รับแรงแผ่นดินไหวถึง 4-5 ริกเตอร์โดยประมาณ แต่ถ้าเกิดแผ่นดินไหวอีกแบบ(แนวตั้ง/บน-ล่าง) ตอนแผ่นดินไหวที่โกเบเมื่อหลายปีก่อนเขย่าทีก็พังหมดทั้งเมือง จบ… ทำอะไรไมได้ ไอ้เรื่องนี้มันพูดยาก จะพูดให้กลัวก็กลัว แต่พูดให้ไม่กลัวมันก็ไม่กลัว (หัวเราะ)
ไฮคลาส : แต่ส่วนใหญ่เน้นพูดให้กลัว พูดให้ตระหนก
ทำไมล่ะ ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าเราจะทำอย่างนั้นทำไม เพราะว่าโอเค..สื่อขายข่าวได้เพราะมีคนเอาเรื่องนี้มาตีเป็นประเด็นแล้วได้ประโยชน์จากการตีประเด็นนั้นขายโฆษณาได้หรือเปล่า หรืออย่างมีคนเขียนหนังสือ คนหนึ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเขียนบอกว่าโลกจะไม่แตก แต่อีกคนเขียนบอกว่าโลกจะแตก เล่มไหนน่าสนใจมากกว่าล่ะ มันเป็นจิตวิทยาว่ามีอยู่แค่นี้แหละคน
ความกลัวเป็นทุกอย่างของมนุษย์ถ้าคุณอ่านหนังสือพวกจิตวิทยานะ มนุษย์นี้มันอยู่บนพื้นฐานของความกลัว สิ่งแรกที่คุณกลัวคือกลัวตาย ทั้งๆ ที่เราต้องตายอยู่แล้ว ฉะนั้นพุทธศาสนาถึงสอนดีสอนให้เข้าใจว่าถึงอย่างไรก็ต้องตาย แต่ว่าเขารู้ว่าพื้นฐานของมนุษย์ก็คือการกลัวความตาย มนุษย์มีสิ่งที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Notion of body (ยึดติดกับร่างกาย) คือเรามีความกังวลกับร่างกายเรามาก คุณลองดูไปรอบๆ ตัวทุกอย่างมันเกี่ยวกับร่างกายเท่านั้นแหละ กินก็เพื่อให้ร่างกายมันอิ่ม ใส่เสื้อผ้าก็เพื่อให้ร่างกายมันสวย ทุกอย่างเป็นเรื่อง Notion of body ไม่ว่าปัจจัยสี่ทั้งหลาย เกี่ยวกับกายคุณ ร่างของคุณทั้งนั้น แล้ววันหนึ่งถ้าคุณรู้สึกว่าร่างจะสลายไปนี่คือสิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุด มันไม่ใช่เรื่องของความตายแต่เป็นเรื่องที่กลัวว่าร่างจะสลาย เลยเกิดอุดมคติความคิดที่อธิบายว่ามันไม่สลายหรอกร่างน่ะ มันมีอทิสมานกาย มีอีกร่างหนึ่งที่ซ้อนอยู่แล้วนำไปสู่ในภพหน้า ก็ทำให้คนเลิกกลัวความตาย เพราะเป็นเรื่อง Notion of body อย่างเดียว ถ้าคนรู้สึกแค่ว่าถ้าผมตายแล้วร่างกายผมจะเน่า…ไปอยู่ในโลงอึดอัด จะรู้สึกว่าความตายมันแย่มาก แต่เมื่อเกิดอุดมคติเรื่องความตายในศาสนาคริสต์ ในศาสนาพุทธผมยกตัวอย่างจากสองศาสนานี้จะมีเรื่องของภพภูมิให้ความรู้สึกว่า Notion of body มันไม่สูญสลายไป นี่ก็เป็นส่วนช่วยให้คนรู้สึกไม่กลัวความตายเท่าที่ควรและทำให้ชีวิตมันดำเนินไปได้ การที่พูดถึงเรื่องของหายนะมันทำลาย Notion of body มันคือ Fear of death คือกลัวความตายเป็นประเด็นเดียวกัน แต่เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดแล้วในการหลอก…ขอไม่ใช้คำว่าหลอก เปลี่ยนเป็นจูงใจคนดีกว่า
ไฮคลาส : ในระยะ 4-5 ปีหลังมานี้ โจทย์ที่หนักที่สุดจากลูกค้าที่ตั้งขึ้นในงานออกแบบคือโจทย์ไหน
ผมโดนมาหลายอย่าง ออกแบบรับสึนามิสมัยที่สึนามิมาใหม่ๆ ก็มีคนพูด ออกแบบรับแผ่นดินไหวก็มีคนพูด ออกแบบกันขโมยนี่เรื่องปรกติ แต่มีที่ให้ออกแบบสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง ผมก็บอกว่าผมแค่ทำบ้านครับ ผมไม่ได้เป็นผู้กำหนดโชคชะตา ไม่ได้เป็นพระเจ้า มันก็เป็นแค่บ้านคุณจะให้บ้านหลังนี้หรือตึกหลังนี้อยู่ได้มันต้องใส่องค์ประกอบอย่างอื่นด้วย ต้องดูคนที่ดำเนินการดีไหม คนที่มาบริหารจัดการดีไหม โรงแรมนี้จะสำเร็จก็ต้องดูว่าทีมการตลาดดีไหม ฯลฯ บางคนมาพูดกับสถาปนิกว่าอยากให้จ้างหรือทำงานก็คิดว่าค่าแบบมันแพงก็ต้องคุ้มสิ ตึกนี้ต้องตอบโจทย์ทุกอย่าง มันทำไม่ได้หรอกครับ มันก็แค่ตึกน่ะ ชีวิตผมหยิบมาให้ดูคนหนึ่งทีเดินบนถนนจะมีใครที่สมบูรณ์แบบ น้อยมากแทบจะไม่มีเลย สถาปัตยกรรมก็เหมือนกัน จะมีข้อได้เปรียบตรงนี้ เสียเปรียบตรงนี้ ผมก็ถามว่าแลกกันไหวไหมถ้าผมทำตรงนี้ให้แต่ตรงนี้จะหายไปนะคุณรับได้ไหม มันจะเป็นแบบนี้ตลอดเวลาต้อง Trade off ตลอดเวลา มันไม่มีทางที่จะเพอร์เฟคต์ ผมก็จะกลับไปที่บทสนทนาว่าแล้วข้อโทษนะที่นั่งคุยกับผมน่ะเพอร์เฟคต์ไหมล่ะ ถ้าคุณไม่มีข้อเสียอะไรเลยนะผมทำให้ แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ตึกมันก็ได้แค่นั้นเช่นกัน
ไฮคลาส : ความกลัวมันมีผลต่อหลายอย่างแม้กระทั่งข่าวที่ออกมามันทำให้หุ้นขึ้นลงได้ คนก็อยู่กับความกลัว ทุกข์เพราะความกลัวและสุขเพราะความกลัวได้เช่นกัน
ถูก มันมีวิธีคิดแบบพุทธศาสนา ผมใช้บ่อย เรียกว่าโลกธรรม 8 มี สุข-ทุกข์ สรรเสริญ-นินทา ได้ยศ-เสื่อมยศ ได้ลาภ-เสื่อมลาภ ถ้าคุณเข้าใจว่ามีบวกก็ต้องมีลบ มีมาก็ต้องมีไป ผมว่าความกลัวมันจะน้อยลงนะ ความยากของชีวิตจะน้อยลงเยอะ ชีวิตจะดำเนินไปได้อย่างมีความสุขพอสมควร โอเคเดี๋ยวตาย…เดี๋ยวคุณตายแน่ คุณมีเงิน…เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณอาจจะไม่มีก็ได้ มีเงินก็มีเสียเงิน วันนี้ได้เงินเดือนพรุ่งนี้จ่ายบัตรเครดิตหมด ฯลฯ ถ้าคุณเข้าใจโลกธรรม 8 ก็จะทำให้ความกลัวต่างๆ หรือความวิตกกังวลต่างๆ น้อยไปเยอะ บางคนพอมีความสุขก็จะคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีทุกข์…กลัว ไม่ต้องกลัวครับประเดี๋ยวทุกข์แน่ มีง่ายก็มียาก ทุกอย่างอยู่ในสมดุลตรงนี้แหละ ผมว่าจะต้องอยู่ตรงนี้ได้ ต้องเข้าใจพื้นฐานนี้ให้ได้
ไฮคลาส : เหมือนที่สอนกันว่าสุขอยู่ไม่นานทุกข์ก็อยู่ไม่นานขึ้นอยู่กับเราว่าจะอยู่กับเรานานแค่ไหน
ไม่ต้องห่วงมันอยู่นานทั้งคู่แหละ (หัวเราะ) มันอยู่ไปตลอดชีวิตเรา ชีวิตก็มีสุข มีทุกข์สลับกันไป คนที่มีทุกข์ก็มีช่วงที่มีสุข บางทีสุขมากไปก็จะทุกข์เยอะหน่อย แต่ผมว่ามันอยู่กับเรานานทั้งคู่แหละครับ ทำใจไปเลยไม่ต้องห่วง อย่าไปคิดว่าจะสุขตลอดเวลา ตัดเรื่องความกลัวตายไปได้สักเรื่องทุกอย่างจบนะ ลองไปคิดให้ดีๆ เข้าใจให้ได้ว่าตายแน่ๆ ผมนี่ท่องว่า ตายแน่ๆ ไม่เคยคิดว่าจะไม่ตาย และไม่เคยบิดพลิ้วว่าจะต้องสู่กับมัน
เคยมีคนถามว่าไปทำอะไรกับหน้ามาหรือเปล่าเนี่ย หน้าไม่เหี่ยวเลย ผมบอกว่ามันก็เหี่ยวนะแต่ผมไม่สนใจมันไง ผมรู้ว่ามันต้องเหี่ยวมันต้องแก่ต้องย่น ผมจะหงอกก็ปล่อยให้หงอกไป มีคนวิตกแทนแล้วบอกว่า “คุณดวงฤทธิ์ย้อมผมสักหน่อยสิ” ผมบอกว่า “คุณต้องเข้าใจก่อนว่าหลักของชีวิตผมคือความจริงนะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Realist ontology คือเราเชื่อในความจริง เราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ งานสถาปัตย์ของผมไม่มีอะไรหลอก ไม่มีว่าจะมาลูบหน้าปะจมูกหลอก มันอ้วนก็บอกว่าอ้วน มันผอมก็บอกว่าผอม สะท้อนทุกอย่าง ไม่มีว่าจะมาทำฉากบัง ถ้าหน้าต่างก็หน้าต่าง เสาก็เสา ผนังก็ผนัง ฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนแบบนี้เราคิดแบบนี้ทำงานแบบนี้จะให้เราย้อมผมเพื่อจะหลอกเขาผมทำไม่ได้
ผมก็บอกว่านี่คุณดูไว้เลยว่าดวงฤทธิ์แก่ ดวงฤทธิ์ต้องแก่ แล้ววันหนึ่งดวงฤทธิ์ก็ต้องตาย คุณก็เหมือนกัน (หัวเราะร่า) ใช่มั้ย คุณจะดิ้นรนไปทำไม วันหนึ่งคุณก็เหมือนกัน แต่ในระหว่างตรงนั้นคุณทำอะไร นี่แหละคือสิ่งที่คุณต้องมานั่งคิดว่าจะทำอะไร คุณจะทำความดี จะทำความชั่วก็เลือกเอา แต่คุณตายแน่ไม่ต้องห่วง ตอนตายคุณอยากจะยิ้มว่าผมได้ทำทุกอย่างที่ผมควรจะทำให้โลกนี้แล้วและผมก็นอนตายไปยิ้มๆ หรือคุณจะนอนตายแล้วคิดว่าตายแน่ ลงนรกแน่ ทำแต่ความชั่วมาตลอดชีวิต คุณอยากตายแบบไหนมากกว่า
ไฮคลาส : ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนึกขึ้นได้ตรงช่วงสุดท้ายของชีวิต
หนังสือพระ ผมไม่ได้พูดเอง หนังสือพระบอกว่าช่วงเวลาจังหวะที่จะตายสำคัญมาก คนซึ่งไปในที่ที่ดีก็จะมีจังหวะซึ่งเขาเข้าใจสัจธรรมตรงนี้ เขาปล่อยมันไป เรียกว่า Notion of body เขาตัดมันเลย เขาเข้าใจว่าเขาจะตายแล้วนะ แล้วสามารถปลด Notion of body ออกมาจากตัวเขาได้เขาก็จะตายอย่างมีความสุข แต่คนที่ยังยึดว่านี่เป็นร่างกายของฉัน ตัวของฉัน ฉันต้องอยู่กับมัน ฉันต้องตายไม่ได้ เขาก็จะตายอย่างไม่มีความสุข เขาก็กลับไปเรื่องเดิมเรื่อง Notion of body ว่าคุณผูกพันกับมันแค่ไหน ถ้าคุณเข้าใจว่าคุณแยกมันอกจากกันได้ คุณรู้สึกว่าคุณผ่อนคลายได้ฉะนั้นในจังหวะที่คุณตายผมก็เชื่อว่าไปดี
ผมเชื่อความคิดของพุทธศาสนาเรื่องภพภูมิ ผมเชื่อว่ามันน่าจะมีนัยยะทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายยังไม่ได้แต่ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ผมเชื่อว่าตายแล้วมันไม่ใช่ศูนย์ ณ จุดตาย ผมเชื่อว่าความซับซ้อนของชีวิต ณ วันนี้ยังอธิบายไม่ได้หลายอย่าง ผมอธิบายไม่ได้ว่าสมองมนุษย์ทำงานอย่างไร ในทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้ ระบบที่เราคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้มันเกิดจากสมองจริงหรือเปล่า มันมีเรื่อง Notion ของจิต ซึ่งผมว่าวิทยาศาสตร์ก็เริ่มมาทางนี้มากขึ้นว่าอาจจะมีระบบอีกระบบหนึ่งที่ซ้อนไปแล้วเป็นตัวที่ควบคุม แล้วถ้าเกิดเป็นเรื่องจริง การปลดเรื่องของจิตกับร่างกายเป็นเรื่องจริงผมว่าทุกอย่างมันก็ตอบโจทย์ทีเราสงสัยกัน ทำไมในแง่จิตวิทยาเราถึงเป็นห่วงร่างกายนี้มากเพราะว่าจิตมันยึดติดกับร่างกาย เว้นเสียว่าคุณปล่อยให้มันไม่ติดกันได้ก็จะสามารถเป็นอิสระ ประมาณนี้ ผมไม่ใช่พระผมพูดเรื่องพวกนี้ไม่ได้
ไฮคลาส : บางคนนอกจากยึดติดกับตัวเองแล้วยังยึดติดกับคนอื่น ต้องทำนี่ไว้ให้ลูก ทำนู่นไว้ให้หลาน ทำนั่นทิ้งไว้ให้น้อง
เดี๋ยวมันก็ตายกันหมด! ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ทุกคนสุดท้ายคุณตายไปแล้วคุณก็ทำอะไรไม่ได้ และเขาก็มีชีวิตของเขา สุดท้ายพวกนี้เขาก็ตายตามคุณไปหมดแหละ ฉะนั้นไม่ใช่บอกให้เห็นแก่ตัวนะ แต่คุณต้องเอาตัวเองให้รอด ทำตัวเองให้ดีถ้าเข้าใจตรงนี้ และต้องปล่อยให้หมด เพราะถ้าคุณไม่ปล่อยคุณก็ยังยึดอยู่พอคุณยึดอยู่ก็จะยังไม่หลุดออกไป มันก็จะยังค้างๆ คาๆ อยู่
ผมว่าวันหนึ่งวิทยาศาสตร์ก็คงอธิบายได้ แต่ว่าวันนี้ผมต้องเชื่อพระก่อน คือพระบอกอย่างไรก็ต้องเชื่อพระ พระของผมก็คือพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเรื่องของไตรภูมิ พระไตรปิฏก วิสุทธิมรรค ฯลฯ ผมว่าเราไปที่ฮาร์ดคอร์เลยดีกว่าเพราะเดี่ยวนี้เราเองก็รู้สึกว่าพระหลายองค์ท่านก็ออกมาพูดเหมือนกับท่านอยากพูดท่านก็พูด ซึ่งเราก็วิตกเหมือนกันว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นถูกหรือเปล่า เราก็ตั้งคำถาม แต่คนก็เอามาตีพิมพ์ก็ว่ากันไปเราไม่ไปแย้งจุดนั้นเพราะว่ามันละเอียดอ่อนเกินไป แต่เราแค่สงสัยว่าสมัยก่อนพระเวลาขึ้นธรรมมาสน์เทศน์ต้องเทศน์จากใบลาน ในใบลานก็จารไว้ว่าพระพุทธเจ้าให้พูดอะไรบ้างก็จะเทศน์ไปตามนั้น
สมัยโบราณนั้นพระที่จะเทศน์โดยไม่มีใบลานก็คือต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นแต่นี่โบราณเขาว่าอย่างนี้ แต่สมัยนี้พระเทศน์กันไม่ต้องมีใบลานแล้ว ไม่ต้องมีตำรา คือนึกอะไรได้ก็พูดออกไปแล้วเราก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้นเองหรือเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ผมเป็นคนหัวโบราณเรื่องนี้นะ ผมคิดว่าพระต้องเทศน์ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเท่านั้น เหมือนคนมีครูจะไปพูดสิ่งที่ครูไม่ได้พูดไปนึกเอาเองไม่ได้นะ ต้องพูดตามครู ถ้าคุณไม่พูดตามครูคุณก็ต้องไปตั้งศาสนาเอง เท่านั้นเอง
ผมคิดแบบนี้คนเขาก็ด่าผมว่าผมโบราณมาก คิดว่าดวงฤทธิ์น่าจะสมัยใหม่นะ เท่ห์ๆ แต่พอมาเข้าเรื่องศาสนานี่ผมมีความรู้น้อยมากเรื่องศาสนาผมอ่านน้อยมากอ่านแต่สิ่งที่ผมอยากอ่านแต่ผมมีความเชื่อว่าพระท่านไม่ควรเทศน์ออกไปนอกกรอบที่พระพุทธเจ้าเทศน์ต้องอยู่ในกรอบชัดเจนเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอะไรอย่าพูด ถ้าพูดน่ะผิดเลยนะ แล้วนอกจากท่านเป็นพระอรหันต์ท่านอยากพูดอะไรท่านพูดได้เพราะท่านหลุดท่านเห็นแล้ว ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าเห็นท่านเห็นเหมือนกัน ฉะนั้นท่านพูดอะไรก็ได้ แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ต้องพูดตามพระพุทธเจ้าเป๊ะๆ ไม่อย่างนั้นผิด ผมเชื่อว่าผิด
ไฮคลาส : ฉะนั้นเราก็ควรใช้ชีวิตอย่างปรกติ ทำให้มีความสุขโดยไม่สร้างความทุกข์ให้กับคนอื่น นี่คือคำตอบของการใช้ชีวิต
ทุกข์ไปทำไมมี โอเคโลกจะแตกแล้วไง แล้วคุณห้ามมันได้ไหม คุณเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ไหม ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงได้ผมโอเคที่คุณจะมาวิตก ถ้าคุณคิดว่าคุณป้องกันมันได้ คุณหลีกเลี่ยงมันได้ ถ้าคุณบอกว่าหลีกไปตรงนี้มันจะไม่ไปแน่ๆ หรือปลอดภัยแน่ๆ ถ้าคุณให้เหตุผลแล้วผมเชื่อผมฟังทำตามคุณคุณบอกอะไรผมก็ทำตามนั้น แต่ถ้าการกลัวเหล่านั้นมันไม่มีที่มาที่ไป คือมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วจะให้ผมไปไหนก็ไม่รู้ผมไม่กลัว ผมว่าไม่เหตุต้องกลัว มีชีวิตให้มีสติ เป็นปรกติทำกิจการงานใดที่ต้องทำก็ทำต่อไป ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพสัมมาอาชีพก็ทำต่อไป ไม่ต้องไปวิตกกับมันมาก และอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่าทุกอย่างมีความเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติ ฉะนั้นอย่างไปคิดกลัวมัน สิ่งที่อันตรายที่สุดของความกลัวก็คือตัวคุณเอง เพราว่ากลัวก็มีแต่คุณเท่านั้นที่กลัว ถ้าคนร้อยคนกลัวก็คือคนร้อยคนกลัว ถ้าคนหนึ่งคนไม่กลัวก็คือคนหนึ่งคนไม่กลัวก็คือคนหนึ่งคนไม่กลัว เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ตัวเราเอง ไอ้ความกลัวนี้ต้องเข้าใจมัน
Dear Mr. Bunnag,
Unfortunately I can’t read any of these Thai words. Can you please tell me about your Eco Future Company? Is it true that your company is planting seaweed and choral in the Gulf of Thailand to save the planet?
Best Regards,
Mrs. H. Kraak, harmkekraak@planet.nl
Yes. We have been developing the idea of ECOFUTURE for two years now, through series of scientific experiments to prove it legitimacy, and it is approaching our final conclusion in the next few months. It will be launched before the end of the year and perhaps we can share more about it then. Thanks.