ผมหลับตาลง
ในความคิดนั้น ทุกอย่างสงบนิ่งอย่างเหลือเชื่อ เบื้องหน้าผมคือทะเลทรายที่มืดมิดของ Black Rock City แสงสว่างเดียวที่มีคือแสงสะท้อนของผืนทรายจากแสงไฟดวงโตที่ลอยอยู่เหนือหัวผม ไกลออกไปเหมือนจะแค่ 500 เมตร ท่ามกลางเสียงเพลงที่ลอยมา playa ที่อยู่ไกลออกไปจนมองไม่เห็น กับพายุทรายที่เริ่มจะพัดเข้ามาเป็นระยะและอากาศที่หนาวเย็นต่ำกว่าศูนย์องศา ดูเหมือนว่า ผมมีทางเลือกว่าจะขี่รถจักรยานกลับไป playa หรือเดินต่อไปหาแสงไฟนั้น
ในเวลานั้น ผมแน่ใจเหลือเกินว่าดวงไฟขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า มันจะต้องเป็นงานศิลปะที่น่าตื่นเต้นที่สุดในงานนี้เป็นแน่ ผมจินตนาการไปถึงงานดวงอาทิตย์ของ Olafur ที่ Tate Modern เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งพาให้ผมล้มตัวลงนอนกลาง Turbine Hall เป็นครั้งแรกและอาบแสงอาทิตย์อย่างอบอุ่นนับชั่วโมง ในหัวของผมตอนนั้นคิดว่า ก็ไม่น่าแปลกถ้าจะมีคนทำงานศิลปะ จัดวางเป็นรูปดวงจันทร์ขนาดใหญ่ แขวนอยู่ปลายเชือกที่ลอยอยู่บนฟ้า ส่องสว่างท่ามกลางทะเลทรายที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา จนแสงสะท้อนกับผืนทรายเป็นทะเลสีเงินไปทั่วบริเวณ นึกภาพแล้วก็ใจเต้น คิดว่าถ้าได้เข้าไปถ่ายภาพใกล้ๆ มันจะต้องเป็นภาพที่จำจนวันตายแน่ๆ
ผมกำมือกล้องในมือแน่น กล้อง DSLR ของผมกับเลนส์ 24 mm f 1.4 ที่ติดตัวอยู่ น่าจะไม่มีปัญหาในที่มืดแบบนี้ ห่วงแต่พายุทรายที่เริ่มพัดแรงขึ้นเป็นระยะ มีหลายคนบอกว่ากล้องนี้ทนมาก สมบุกสมบันได้พอตัว แต่ก็ไม่เคยมีใครยืนยันเรื่องพากล้องผ่าไปในพายุทรายว่ามันจะโอเคมั้ย ตอนนี้ ก็แค่ได้แต่หวัง เพราะตัดสินใจแล้ว ว่าขี่รถต่อไป เพื่อไปยังงานศิลปะที่ส่องสว่างอยู่บนฟ้าชิ้นนั้น
การขี่รถจักรยานไปบนทะเลทรายนั้น เป็นเรื่องที่ต้องระวังอยู่แล้ว จักรยานที่ผมใช้เป็นจักรยานเช่าเก่าๆที่พอวิ่งได้ และเวลาขี่ไปไหนต่อไหนใน playa ก็ต้องเลือกบริเวณที่ทรายอัดแน่นจนเหมือนพื้นแข็ง ในเวลากลางวันที่ทุกแห่งสว่างโพลนนั้น มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในเวลากลางคืนที่มืดมิดนี่ จะต้องคอยมองให้ดี ไม่งั้นขี่ผ่านเข้าไปในกองทรายที่ร่วนซุย จักรยานที่วิ่งมาเร็วนี่ ก็อาจจะปักหัวลงไปแบบตั้งตัวไม่ทันกันทีเดียว
แสงไฟจากไฟฉายอันใหญ่ผมสว่างพอที่จะมองเห็นไปได้ไกลข้างหน้าเกือบ 20 เมตร ผมเห็นเงาคนนั่งอยู่ไกลๆเป็นระยะ และเสียงเพลงจาก playa ก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ ผมขี่รถไกลออกไป และเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไปให้ถึงเจ้างานศิลปะที่ว่าให้เร็วที่สุด ในความจำของผมคือผมขี่จักรยานออกไปเหมือนไม่มีวันที่จะสิ้นสุด จนผมมองไม่เห็นผู้คนอีกต่อไป แสงไฟและเสียงเพลงจาก playa ก็เหมือนจะหายไปจนเกือบหมดสิ้น และแน่นอนว่าผมอยู่คนเดียวท่ามกลางทะเลทรายที่มืดมิด ที่ใดซักแห่งกลางรัฐเนวาดาที่ห่างไกล ไม่มีสัญญานโทรศัพท์ ไม่มีผู้คน มีแต่ผมคนเดียว
กับงานศิลปะที่เหมือนดวงจันทร์ลูกใหญ่ลอยอยู่ตรงหน้า
ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่งานศิลปะชิ้นนี้ ติดตั้งไกลเหลือเกิน แต่ก็เหมือนความบ้าอื่นๆใน Burning Man ที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย ทำได้อย่างเดียวคือเปิดใจให้กว้าง และอย่าพยายามไปอธิบายมันให้มากนัก
วินาทีนั้นผมมีทางเลือกสองทางด้วยกัน คือเดินทางกลับ เพราะผมเริ่มอยู่ไกลจาก playa มาก จนแทบมองไม่เห็นแสงไฟจากบริเวณแคมป์ของผมแล้ว ถ้าเดินทางไปไกลกว่านี้ ก็จะเริ่มกลับยาก เพราะกลางทะเลทรายที่มืดขนาดนี้ ต่อให้ใช้เข็มทิศ ก็มีโอกาสเดินอ้อมกันเป็นกิโล หมดแรงขึ้นมาต้องนอนกลางทะเลทราย ไม่น่าจะเป็นเรื่องสนุกซักเท่าไหร่
แต่ไอ้เจ้างานศิลปะที่ว่า มันก็ยังคงลอยยั่วยวนอยู่ข้างหน้า เหมือนกันจะบอกว่า แน่จริงก็มาให้ถึงฉันสิ ฉันลอยสว่างอยู่ตรงนี้ ถ้าเธอเดินมาให้ถึงฉัน เธอจะเจอผู้คนนอนรออยู่ใต้แสงของฉันมากมายเหมือนที่เธอเคยเห็นที่ Tate Modern ผู้คนเหล่านั้นเขากำลังอาจเต้นรำกันอยู่ใต้แสงจันทร์ เป็นเวทีลึกลับที่น้อยคนจะไปถึงได้ และถ้าได้รูปเหล่านั้นมา จะเป็นรูปถ่ายที่ได้ ที่ใครจะเคยได้เห็นอีกแน่นอน
มันเป็นสองทางเลือกที่ปวดใจที่สุดทั้งสองทาง
ทางหนึ่งคือการกลับไปนอนในรถบ้าน ปลอดภัย แล้วก็ตื่นสายขึ้นมารอดูเขาเผา The Man ในค่ำวันนั้น ส่วนอีกทางหนึ่งคือผจญภัยไปสู่ดินแดนลึกลับ ที่ต้องผ่านทางที่มืดมิด พายุทรายที่แรงขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะทำให้โอกาสที่จะเดินกลับมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ดวงไฟตรงหน้า หลังจากเดินตามมาเป็นชั่วโมง ก็เหมือนมันจะมีขนาดเท่าเดิม ไม่มีวี่แววว่าจะใกล้ขึ้นซักที แต่มองไปอีกที มันก็เหมือนโคมไฟขนาดใหญ่มากกว่าจะเป็นดวงจันทร์แน่ๆ มันต้องเป็นงานศิลปะแน่นอน ผมมั่นใจ และก็ตั้งใจที่จะเดินต่อไปให้ถึงงานชิ้นนั้น
นานเหมือนกับชั่วกัลป์ ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ผมขี่จักรยานต่อไปไม่ได้แล้ว ทรายบนพื้นเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ที่เหลือคือเงาตะคุ่มของก้อนหินบนทะเลทรายที่บอกว่าทางกลับผมคือทางไหน ผมยังเดินต่อไปพร้อมกับสายตาที่จ้องไปยังแสงไฟด้วยความหวัง พายุทรายก็พัดแรงขึ้นอย่างจริงจังจนตาผมพร่ามัว แทบจะไม่เห็นแสงไฟตรงหน้า
แล้วผมก็เริ่มถามตัวเองอีกทีว่า ผมจะทำไปทั้งหมดนี่เพื่อสิ่งใดกัน
ผมหยิบกล้องในมือขึ้นมาดู อากาศเย็นจัดดูเหมือนจะทำให้ระบบกล้องดับไปแล้ว ไม่มีสัญญานไฟใดๆแสดงผลที่หน้าจอเลย ทุกอยากมืด มืดเหมือนทะเลทรายที่อยู่รอบตัวผม ไฟฉายในมือผมก็ดูเหมือนแสงมันจะริบหรี่ลงไปทุกขณะ สิ่งเดียวที่ยังสว่างไปทั่วบริเวณคือแสงจากดวงไฟดวงนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นศิลปะหรือดวงจันทร์ มันสว่างมาก และเป็นสิ่งเดียวที่อยู่กับผมในนาทีนั้น นอกเหนือไปจากทะเลทรายที่เวิ้งว้างจนหายไปในความมืด
ความรู้สึกที่มีแต่ตัวเองคนเดียวในโลก เป็นความรู้สึกที่เหงาอย่างประหลาดมาก ความเงียบสงัดเป็นเหมือนมีดที่บาดลึกลงไปกลางหัวใจ แต่ปราศจากความเจ็บปวดใดๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมมีประสบการณ์ว่ามีแต่ตัวผม และตัวผมเท่านั้นในโลกนี้ กับบางสิ่งบางอย่างตรงหน้า ที่ผมก็อธิบายไม่ได้และยังลังเลใจว่ามันคืออะไรกันแน่ มันส่องสว่างยั่วยวนผมเหลือเกิน แต่ผมยิ่งวิ่งตามมันไปมากเท่าไหร่ ผมก็ไปไม่ถึงมันซักที มันพาผมออกมาห่างไกลจากผู้คน จากความร่าเริงสนุกสนาน มาสู่ความเงียบและความเหงาที่กรีดลงไปในร่างกายผมแบบที่น้ำตาแทบไหล ผมเหนื่อยจนขาแทบจะหมดแรง
และทั้งหมดนี้เพื่อสิ่งใดกัน
ในทุกการเดินทาง มันจะพาเราไปพบกับตัวเองในวิธีที่แปลกประหลาดเสมอ ผมเริ่มตั้งคำถามใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตของผม และผมเริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่างค่อยๆหมุนผ่านไปรอบๆตัวผม มันคือทั้งชีวิตผม คนที่ผมเป็น คนที่ผมเคยเป็น และคนที่ผมอยากเป็น ที่ๆผมจากมาและที่ๆผมจะไป ทั้งชีวิตผมเหมือนกำลังวิ่งผ่านผมไปในช่วงกระพริบตา ผมเริ่มตั้งคำถามว่าผมจะทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อสิ่งใดกัน ผมเริ่มเหนื่อยมากและตาเริ่มพร่ามัว
ผมตัดสินใจที่จะเดินกลับไปยังแคมป์ของผมที่ playa
ผมเดินห่างออกมาจากแสงไฟนั้นทีละน้อย จนความรู้สึกผมเหมือนกับดวงไฟนั้นก็ค่อยๆเล็กลงไปตามลำดับ จนมาถึงจุดที่ผมเห็นผู้คนใน playa เดินไปมาอีกครั้ง ดวงไฟนั้นก็เล็กลงจนเหมือนเป็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า ผมค่อยๆมองเห็นผู้คนชัดขึ้นทีละน้อย บางคนที่เดินสวนไปกับผมเห็นว่าผมกลับออกมาจากทะเลทราย คิดว่าผมคงไปเจองานศิลปะชิ้นไหนเด็ดๆมาแน่ ก็ถามผมว่า ตรงด้านโน้นในทะเลทรายมีอะไรบ้าง ผมยิ้ม แล้วก็ตอบกลับไปว่า
พวกคุณคงต้องลองเดินไปดูเองแหละ
ผมไม่มีวันรู้ได้อีกเลย ว่าดวงไฟดวงนั้นเป็นงานศิลปะที่ยอดเยี่ยม ที่จะทำให้ผมตื่นเต้นหรือสนุกสนาน หรือเป็นแค่ดวงจันทร์บนท้องฟ้าที่หลอกให้ผมเดินเข้าไปหาจนหมดแรง และเกือบเอาชีวิตไปทิ้งอย่างเงียบเหงาท่ามกลางทะเลทรายอันมืดมิด และอาจจะอีกนานหลายวันกว่าจะมีคนพบว่าผมหายไป แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก การเดินทางของผมผ่านเข้าไปกลางทะเลทรายที่มืดมิด และค้นพบความเงียบในหัวใจผมต่างหากที่สำคัญ มันเป็นความเงียบที่ผมไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้นักในเวลานั้น แต่มันก็ยังดึงให้หัวใจผมดำดิ่งมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมพร้อมที่จะเข้าใจในทุกๆสิ่งที่ประสบการณ์ในคืนนั้นมันพยายามจะบอกกับผม ให้ผมเข้าใจทั้งหมดของชีวิตในวิธีที่ไม่มีใครจะสอนได้
ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง
มันไม่มีที่ไหนที่ผมต้องไปอีกแล้ว ทุกอย่างมี และไม่มีที่นี่ ทุกอย่างที่เราสร้างคือทุกอย่างที่เราไม่ได้สร้าง และทุกอย่างคงอยู่และดับไปในเวลาเดียวกัน มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานและอ่อนล้า และผมสูญเสียทุกๆอย่างไปในการเดินทางนั้น มิตรภาพคงอยู่เฉพาะเมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คน ในยามที่เราไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คน สิ่งเดียวที่เป็นแสงนำทางคือความหวังที่มองเห็นและไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่ มันก็แค่ความหวังที่พาเราเดินไป อย่างไร้เหตุผล อย่างโดดเดี่ยว วินาทีตรงหน้าเราคือทั้งหมดของชีวิตเรา และตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดของชีวิตก็มีอยู่เพียงแค่นั้น
จากจุดนี้ไป ก็เป็นแค่ปัจจุบัน เพื่อจะรอวันที่ผมจะหลับตาลงอีกครั้ง เท่านั้น