Forecast A Chaotic 2020

10 สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า

เขียนไว้ให้คนอยากหาอะไรอ่านไร้สาระสิ้นปี ไม่ใช่บทความทางวิชาการ อย่าไปจริงจังมาก คิดซะว่าอ่านทำนายดวงชะตาละกัน

1.) การบริหารของรัฐทางด้านเศรษฐกิจ ถึงจุดวิกฤติ เนื่องจากไม่สามารถทำให้เกิดการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น หรือเกิดการจูงใจนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวได้มากขึ้น เนื่องจากสาเหตุหลักคือไม่มีความสามารถในการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทโดยใช้กลไกทางธุรกิจ เช่นการลงทุนในต่างประเทศของรัฐ เพื่อรักษาสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนไว้ได้ที่ 32-33 บาท แต่ในต้นปีหน้า เราจะได้เห็นวิกฤติจากค่าเงินบาทแข็งที่ 29 บาท ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะหดตัวในแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป

2.) เมื่อไม่มีเงินลงทุนเข้ามาเพิ่ม การขยายตัวทางเศรษฐกิจก็จะลดลงจนเป็นศูนย์หรือติดลบ และการแลกเปลี่ยน การค้าต่างๆก็จะหมุนเวียนอยู่แต่ในประเทศ ซึ่งขนาดเศรษฐกิจของประเทศไม่ใหญ่นัก ก็จะประสบปัญหาทุกคนมีเงินในมือน้อยลง ขาดเม็ดเงินเข้ามาลงทุน ขาดการจ้างงานใหม่ๆ คนตกงานเพิ่มขึ้น และการแข่งขันทางธุรกิจก็จะดุเดือดมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เงินด้านการตลาดเยอะ และเป็นเหตุให้ธุรกิจที่มีเงินทุนมากกว่า จะชนะขาดในปีหน้า เข้าทำนองปลาใหญ่กินปลาเล็ก เรียบ

อ๊ะ แต่อย่านึกว่าบริษัทการตลาดจะมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนนะครับ เพราะเป็นไปได้ว่า บริษัทขนาดใหญ่เหล่านั้น จะใหญ่ขึ้นมาก ในวิธีที่มีบริษัทการตลาดเป็นของตัวเองได้

3.) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะเติบโตช้าจนถึงเกือบหยุดนิ่ง เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่เป็นผลดีกับการพัฒนาเลย กำลังซื้อภายในประเทศลด คนไทยไม่มีเงินซื้อ คนที่ซื้อคือคนรวยที่ลงทุน ซึ่งก็จะมีน้อยลงเพราะขายหรือเช่าไม่ค่อยได้ คนต่างประเทศที่เคยซื้อก็ไม่ค่อยซื้อ เนื่องจากค่าเงินบาทแข็ง ราคาคอนโดมิเนียม บ้าน แพงขึ้นสำหรับตลาดต่างประเทศ โครงการที่เห็นเปิดตัวอยู่ จะเป็นโครงการเก่าที่เริ่มไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ต้องทำเพื่อให้มีเงินหมุน เนื่องจากกู้เงินไปแล้ว และจะทำให้อุปทานล้นตลาดเพิ่มขึ้นในปีหน้า ในขณะที่อุปสงค์น้อยลงตามลำดับ

ต่างชาติจะสนใจการเข้ามาช้อนซื้อที่ดินเก็บไว้เป็นหลัก เพื่อการลงทุนระยะยาว รวมทั้งการซื้อยกทั้งโครงการเพื่อรอขายตลาดอนาคต หรือการซื้อโรงแรมชั้นดีต่างๆในกรุงเทพฯ จะเป็นที่นิยมมากในปีหน้า

4.) ร้านค้าที่ขายของแบบ online จะถึงจุดที่ขาดทุนหรือขาดทุนกำไร อันเนื่องมาจากการแข่งขันกันด้านราคาอย่างขาดทุน จะเหลือเพียงรายใหญ่เพียงน้อยรายที่ยังคงต่อสู้กันด้านราคาต่อไป กำไรโดยภาพรวมจะลดลงไปมาก และรายใหญ่ที่มีสายป่านด้านการเงินดีกว่าเท่านั้นที่จะอยู่ต่อไปได้ การสื่อสารและการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์สำคัญมากสำหรับธุรกิจนี้ในปีหน้า

5.) ธุรกิจการขนส่งต่างๆ (logistic) ยังขยายขนาดต่อไป แต่กำไรลดลง เพราะเป็นธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานเป็นหลัก การดึงคนให้มาทำงานด้วยต้องให้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น แรงงานคุณภาพมีจำกัด ต้องแข่งขันทั้งการขนส่งให้ราคาถูกลงแต่มีคุณภาพที่มากขึ้นไปพร้อมๆกัน กำไรจึงลดลงเมื่อเทียบกับการขยายตัวของธุรกิจซึ่งก็ยังจำเป็นต้องขยายตัวต่อเนื่องเพื่อรักษาขีดความสามารถในการให้บริการและการแข่งขัน

6.) ธุรกิจค้าปลีก ศูนย์การค้า จะกลายเป็นสถานที่ที่มอบประสบการณ์ให้ลูกค้า (experience) มากกว่าการมุ่งขายสินค้าราคาถูก ผู้ขายสินค้าจะขายสินค้าได้ในราคาที่ดีกว่าการขายแบบ online แม้ว่าการขายหน้าร้านยอดจำหน่ายอาจจะต่ำกว่า แต่การลงทุนในการทำคลัง (stock) ของสินค้าก็จะต่ำกว่าเช่นกัน เกิดพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยรายใหม่ๆได้ง่ายกว่า และสร้างความหลายหลายของสินค้าได้มากกว่าเนื่องจากไม่ต้องรักษาสินค้าในคลังเป็นจำนวนมาก และสินค้าที่จะขายได้ดีในหน้าร้าน จะเป็นกลุ่มสินค้าที่เน้นประสิทธิผลจากการมีส่วนร่วมของประสบการณ์เป็นหลัก

7.) ภาวะภัยแล้งจะมาถึงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี สิ่งที่เริ่มเกิดเป็นปัญหาตั้งแต่ปลายปี 2562 คือภาวะน้ำประปากร่อย เนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูงเข้ามาแทนที่น้ำในแม่น้ำซึ่งน้ำจากเหนือไหลลงมาไม่พอ ภาวะน้ำกร่อยนี้จะสร้างความเสียหายให้กับภาคการเกษตรในลุ่มแม่น้ำตอนล่าง พอๆกับภัยแล้งที่จะสร้างปัญหาให้กับการเกษตรในลุ่มแม่น้ำตอนบน ทำให้เกิดผลกระทบกับผลผลิตทางการเกษตรอย่างหนัก และเกิดภาวะยากจนขึ้นกับเกษตรกร ซึ่งเป็นชุมชนระดับฐานรากของระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ถ้าเราทำให้เกษตรกรมีความสุขไม่ได้ ประเทศก็มีความสุขไม่ได้

8.) ธุรกิจภาคการเกษตร จะตกต่ำกันแบบแก้ไม่ทัน รัฐบาลก็จะแก้ปัญหาแบบลิงแก้แห เนื่องจากผู้ที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหา ไม่ได้ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหาที่แท้จริงของเกษตรกร รายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่ไปถึงมือเกษตรกรจะลดลงมาก ราคาผลผลิตก็จะไม่ได้ราคาที่ดีอย่างที่ตั้งใจกันไว้ พ่อค้าคนกลางที่มีทุนใหญ่จะมีอิทธิพลมากขึ้นในปีหน้า ในการกำหนดราคาให้เกษตรกร การจัดจำหน่าย และการควบคุมรัฐบาลในการกำหนดนโยบายต่างๆเพื่อป้องกันการแข่งขัน รัฐบาล (ที่ไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้) ก็จะอนุญาตให้พ่อค้าคนกลางได้เปรียบ (monopolise) เกษตรกรและผู้ค้าย่อยรายอื่นไปโดยไม่ตั้งใจ เป็นผลให้เกษตรกรไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ และอาจเป็นต้นเหตุของการจลาจลในที่สุด

9.) วิกฤติทางด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานจะถูกเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อรัฐบาลไม่มีนโยบายในด้านการจัดการกับสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะไม่มีแนวทางการจัดการทางด้านการจัดหาพลังงานให้กับประเทศอย่างเหมาะสมเช่นเดียวกัน ในปีหน้า จะเป็นปีที่เราเริ่มเห็นวิกฤติทางด้านการขาดแคลนพลังงานเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปอีก 5 ปี อย่างไม่สามารถแก้ไขได้รวดเร็วนัก รวมทั้งปัญหาการจัดการกับสิ่งแวดล้อม และการจัดการกับขยะ จะสร้างผลกระทบมากขึ้นจนมีผลกระทบกับชีวิต ตั้งแต่มลพิษของฝุ่นไปจนถึงขยะล้นเมือง รัฐ ไม่ได้มีการวางแผนด้านนี้ที่มีประสิทธิผลมาเลยตลอด 5 ปี และปีหน้าเราจะได้เริ่มเห็นผลกระทบที่หนักหนากันมากขึ้น

10.) วิกฤติศรัทธาของประชาชนในการคงอยู่ของความเป็นประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดการฟื้นฟูมาตลอด 5 ปี การสร้างความแตกแยกในความคิดเห็นที่หลากหลายของประชาชนได้รับการสนับสนุนทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองเพื่อดำรงไว้ซึ่งอำนาจปกครอง เป็นแนวคิดที่ไม่สามารถสร้างศรัทธาในการคงอยู่ไว้ได้ในระยะยาว และในปีหน้าจะเป็นจุดผกผันที่วิกฤติในภาวะของการขาดศรัทธานั้น การไม่อนุญาตให้มีความหลากหลายทางชีวภาพของความคิดและอุดมการณ์ต่างๆ เป็นอันตรายที่สำคัญของการคงอยู่ของระบบที่เสมือนสิ่งมีชีวิต (self organisational structure) ของระบบสังคม และจะพาสังคมไปสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจและการคงอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเพื่อการอยู่รอด ระบบสังคมจะมีการจัดการตัวเองเพื่อทำให้ความหลากหลายนั้นคงอยู่ เพื่อให้มีสภาพของชีวิตนั้นต่อไป

สิ่งหนึ่งที่ผู้มีอำนาจปกครองนั้นหลงลืมไปคือ จำนวนประชากรของประเทศมีมากขึ้นถึงเกือบ 70 ล้านคน วิธีการปกครองแบบมีศูนย์กลางเดียวจะไม่ใช่วิธีที่ดำรงความหลากหลายไว้ได้ง่ายเช่นในแบบสมัยเมื่อเรามีประชากรเพียง 40 ล้านคน ในประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก วิธีเดียวที่จะดำรงไว้ซึ่งคุณสมบัติทางชีวภาพของสังคม คือดำรงไว้ซึ่งความหลากหลาย การขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความหลากหลายโดยกลไกลทางเทคโนโลยี่ เช่นสิ่งที่เราเรียกว่าสื่อสังคม (social media) จึงเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของความต้องการที่จะรักษาความหลากหลายทางสังคม และทำให้ความหลากหลายนั้นคงอยู่ วิธีการที่ต้องการจะปกครอง (governing) ระบบสังคมเหล่านั้นโดยไม่อนุญาตให้เกิดความหลากหลายเหล่านั้น จึงเป็นการลงมือทำที่อาจจะทำให้การปกครองนั้นแลดูง่ายในมุมมองของการจัดการ แต่จะนำไปสู่การล่มสลายของระบบ หรือไม่ก็พาไปสู่ความโกลาหล (chaos) ของระบบอย่างสุดเหวี่ยง เพื่อนำระบบสังคมที่เสมือนสิ่งมีชีวิตนี้ ไปสู่ภาวะที่ไกลจากสมดุล (Far From Equilibrium – FFE) และไปสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนสถานะ (phase transition) ภาวะสมดุลใหม่ (new equilibrium) ในที่สุด

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเต็มไปด้วยการสูญเสีย แต่ก็เป็นวิธีที่ถูกเลือกไปแล้วจากข้อจำกัดในความรู้ความสามารถในวิธีที่บริหารจัดการระบบสังคมนั้น

One comment

Submit a comment

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s