ประสบการณ์ที่ได้ไปนั่งรอในห้องพักจำเลย 6 ชั่วโมง (เนื่องจากมีบริษัทขายเบียร์บริษัทหนึ่งฟ้องหมิ่นประมาท) เลยได้มีประสบการณ์อันมีค่าในการได้ใช้ชีวิตอยู่หลังห้องขังร่วมกับผู้ต้องหาหลายหลายในห้องนั้น
ผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด ผลิตน้ำกระท่อม คดีหลอกคนไปทำงานต่างประเทศเกือบ 95% ที่เหลืออีกนิดหน่อยเป็นคดีหมิ่นประมาทแบบเดียวกัน และคดีแรงงาน ที่นายจ้างโดนลูกจ้างฟ้องเอา
วินาทีที่ศาลนั่งพิพากษาแต่ละคดีแล้วเปลี่ยนชีวิตคนตรงหน้าให้จากคนที่มีอิสระ เข้าไปอยู่ในคุก 1 ปีบ้าง 2 ปีบ้าง นี่มันช่างน่าพรั่นพรึง น่าแปลกที่แต่ละคนไม่ได้ทุรนทุรายจากการตัดสินนั้น คนที่ทำผิดจริงก็รับสารภาพกันไป ยอมติดคุกกันไป โทษที่รับจากสารภาพจาก 10 ปีก็เหลือ 2 ปีบ้าง นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทุกคนยอมรับโทษที่ได้ลดนั้นอย่างเต็มใจ
ในขณะนั้นก็ลืมเรื่องของตัวเองไปเลยว่า ทำไมเราต้องมานั่งเสียอิสรภาพอยู่ในห้องนี้ และก็เริ่มเพลิดเพลินไปกับชีวิตต่างๆที่อยู่ในห้องนั้น
ผู้หญิงวัย 56 อีกท่านนึงที่อยู่ข้างๆ ก็ขยับตัวนั่งเข้ามาคุยด้วย เล่าชีวิตให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มตั้งแต่เป็นเด็กสาวมาจากจังหวัดน่านด้วยเงิน 20,000 บาท เข้ามาแสวงโชคในกรุงเทพ เริ่มทำงานโดยการเป็นพนักงานขายผ้าอ้อมที่เดอะมอลล์ราม ขายดีจนบริษัทผ้าอ้อมชวนออกไปเป็นเซลล์ของบริษัท ก็ออกไปขายผ้าอ้อม ผ้าอนามัยตามโรงพยาบาล จนได้แต่งงานกันแฟนที่ทำงานรปภ. พอมีเงินดาวน์รถกระบะได้ ก็เริ่มขับรถขนสินค้าขายกัน นอกเวลาขายก็ไปซื้อสินค้าจากสำเพ็ง เป็น กางเกงใน ผ้าผ่อนชิ้นเล็กๆบ้าง มานั้งแบกับดินขายแถวลำสาลี เก็บเงินจนได้เป็นหลักแสน
จนวันหนึ่งก็มาสนใจรถตู้ ได้เจอกับเฮียตี๋รถตู้มานั่งสอนให้สอนจนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรถตู้ รถปีไหนราคาอย่างไน เครื่องยนต์ข่วงล่างต้องดูอย่างไรบ้าง เอาจนสามารถเป็นเซลล์ขายรถตู้ได้ แกเองก็เริ่มเอาเงินเก็บที่ได้ทั้งหมดไปดาวน์รถตู้คันแรก เงินทั้งตัวเหลืออยู่ 2,000 บาท สามีก็ขับรถตู้รับงานเหมางานทัวร์ต่าง แกเองก็เป็นคนหารถตู้มาขายเฮียตี๋ บางทีรับเขามา 200,000 เฮียตี๋รับซื้อ 250,000 แล้วให้ค่าจ้างแกอีก 10,000 นึง แกก็เริ่มเก็บเงินตั้งตัวได้ แล้วก็เริ่มทำธุรกิจรถตู้มาตั้งแต่นั้น
ปัจจุบันแกมีรถตู้ทั้งหมดเกือบ 60 คัน รับงาน ปปช. (ซึ่งแกเล่าว่าพยายามโกงแกแต่แกก็ชนะคดีฟ้องมาจนได้เงินคืน) รับงานรัฐสภา ไปจนถึงนิคมอุตสาหกรรม ตลอดชีวิตไม่เคยโกงใคร ไม่เคยคิดร้ายกับใคร แต่ที่ต้องมานั่งคุยอยู่กับผมในห้องพักจำเลยนี่ก็เพราะลูกน้องไปฟ้องกรมแรงงานว่าไม่จ่ายเงินประกัน แกบอกว่าก็ตกลงกันไว้ว่าลาออกแล้วถึงจะคืนเงินให้ แต่ไม่ลาออกแล้วมาฟ้องแก แกก็งง ตลอดชีวิตเคยแต่ฟ้องคนอื่นมาโกงเอาเงินแก ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาอยู่ในสภาพจำเลยแบบนี้
ผมเองก็อยากจะบอกว่าผมเองก็งงเหมือนกัน
บังเอิญมากที่ลูกสาวแกเรียนจบสถาปัตย์เหมือนกัน เลยมีเรื่องคุยต่อกันไปได้อีกหน่อย จบที่ไหน ทำงานอะไร ก่อนจะได้ประกันตัวแล้วแยกย้ายกันไป ผมก็ให้เบอร์แกไว้ เผื่อจะได้ไปมาหาสู่นั่งคุยกันอีก เพราะคราวนี้ผมแทบจะไม่ได้มีโอกาสพูดเลย แกพูดอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยว่าแกคุยเก่งมาก
มองไปรอบๆตัวก่อนออกจากห้อง ผมเห็นนักโทษอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องโทษแล้ว และกำลังจะได้รับการปล่อยตัวอยู่ในห้องข้างๆเป็นกลุ่มใหญ่ เป็นพลังงานที่ดี ที่น่าแปลกคืออีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้าการจองจำ ก็ไม่ได้เศร้าสร้อยอะไร มีความสงบในแววตาทุกคน
สงสัยคนไทยเราจะเป็นแบบนี้นี่เอง มองทุกอย่างในแง่ดีเสมอ
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเราถึงมีชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำมากขนาดนี้ได้โดยไม่สะทกสะท้าน เรามีชีวิตอยู่กับการปกครองในระบอบเผด็จการมาได้เป็นเวลายาวนานโดยมีการดื้อดึงน้อยมาก ไม่ใช่เราขี้ขลาด แต่เรารักสงบโดยวัฒนธรรม ถ้าเราจะเป็นทาส เราก็ไม่ปฏิเสธอะไรกับการเป็นทาสโดยธรรม เราทำผิด เราก็ยอมรับผิด หรือแม้บางครั้งเราไม่ได้ทำผิด เราก็คิดว่ามันเป็นผลของกรรมเช่นนั้น
ผมดีใจที่ได้นั่งคุยกับคุณพี่ผู้หญิงคนนั้น เธอทำให้ผมมีพลังอีกแบบในการที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการไม่ยอมแพ้ การยืนหยัดสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง การยอมแพ้ในเกมส์ที่เราแพ้ และการไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่อาจเรียกว่าชะตาของชีวิต
สิ่งสุดท้ายที่เราคุยกันเห็นตรงกันก่อนจะแยกจากกันไป คือ จากนี้ไปถึงปีหน้า ประเทศเราจะเข้าสู่มหันต์ภัยแห่งเศรษฐกิจที่ล่มสลายและการคอรัปชั่นที่เบ่งบาน เราสองคนมองหน้ากันพร้อมกับยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมแพ้กับมัน