Open Road To Sapa

เวลาอายุเรามากขึ้น เพื่อนก็จะเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ

ส่วนหนึ่งก็เริ่มทะยอยตายจากไป ที่เหลืออยู่ก็รักกันดี แต่โอกาสจะมาเจอกันก็แทบไม่ค่อยมี เพราะมีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ พอลูกๆโตกันไปหมดแล้ว เริ่มว่าง หันมามองอีกทีความสนใจก็ไปอยู่คนละทาง ไอ้ครั้นจะกลับมาเที่ยวสนุกด้วยกันแบบก่อนก็ยากอยู่ก็ด้วยเพราะคำว่า ‘สนุก’ มันไม่เหมือนกันแล้วนี่แหละ ทำให้บรรดาคนแก่ๆแล้วจะมีอาการเหงาๆแปลกๆ

ปัญหาของคนเริ่มสูงวัย

ผมโชคดีที่ได้หันมาลองขี่รถมอเตอร์ไซค์ในช่วงวัยสี่สิบปลายๆ เป็นสิ่งที่อยากทำมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่มีโอกาสซักที ต้องตั้งใจเรียน ต้องตั้งใจทำงาน มาจนถึงจุดหนึ่งของชีวิตก็รู้สึกได้ว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกละตลอดชีวิต คิดได้เท่านั้นก็ตัดสินใจซื้อรถ แล้วก็ไม่เรียนขับขี่ สอบใบขับขี่เป็นเรื่องเป็นราวกันทันที

7 ปีต่อมา ผมมาพบตัวเองกำลังขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ในซาปา

ปีแรกๆก็แค่คิดว่าจะขี่รถไปกินกาแฟแถวบ้านเก๋ๆแค่นั้นเอง แต่พอเริ่มขี่เข้าจริงๆ มอเตอร์ไซค์ก็พาผมไปเจอคนหัวอกตกหลุมรักการขับขี่อีกมากมาย เพื่อนสมัยเรียนอยู่ประถม มัธยม พี่น้องที่โรงเรียนเก่า และเพื่อนร่วมสายอาชีพอีกหลายคนทีเดียว แต่ที่ตามกันออกมาขี่ที่เป็นเรื่องเป็นราวที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องที่สาธิตจุฬาฯ จนกลายมาเป็นเป็นชมรมเป็นเรื่องเป็นราว และพากันออกทริปไปที่ต่างๆเป็นประจำปีละหลายครั้ง ทุกครั้งที่ไป ไอ้เพื่อนที่สนิทกันก็จะคอยสอน คอยฝึกเรา แนะนำเทคนิคจนเราขี่เก่งขึ้น พอเก่งขึ้นก็เริ่มจะอยากออกทริปที่ไกลขึ้น จากบางแสน ไปไกลถึงหัวหิน เชียงใหม่ เชียงคาน จนเลยเถิดขี่ข้ามสามประเทศมาจนถึงเวียดนามจนได้ในทริปนี้

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ผมเครียดมาก ภาวะเศรษฐกิจบัดซบถึงขีดสุด ประกอบกับการบริหารธุรกิจที่ไว้วางใจคนที่ไร้ความสามารถจนมากเกินไป ก่อหนี้สินล้นพ้นตัวที่ต้องค่อยๆสะสางอย่างระมัดระวัง รับสายเจ้าหนี้ทั้งหลายโทรมาทวงหนี้พร้อมด่าอย่างสุภาพจนเราเกรงใจตลอดเวลาที่เฝ้าคุณแม่ที่ป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล หนี้เรากับหนี้แม่พุ่งสูงรวมกันไปเรื่อยๆจนคุณแม่เสียไปก็ยังต้องทยอยจ่ายหนี้ค่ารักษากันไม่จบสิ้น เป็นปีที่ท้าทายการเป็นมนุษย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ กว่าจะมีคนเข้ามาช่วยเหลือ เข้ามาช่วยบริหาร แก้ปัญหา มีคนมาลงทุนด้วย เอาเงินมาเติม ก็เล่นเอาเครียดจนความดันขึ้นกันแบบหน้าตกใจ คุณหมอที่ตรวจเองก็ถึงกับก่ายหน้าผาก ถ้าไม่แก้ไขเรื่องความเครียดนี้ที่สาเหตุ ก็สงสัยต้องไปกินยาลดความดันกันแบบเป็นประจำ ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้อยู่ดูหน้ากันไปอีกนานกันเท่าไหร่นัก

ในวินาทีที่ทุกอย่างดูเหมือนจะวิกฤติสุดๆ รุ่นพี่ที่เคารพในกลุ่มสนทนาห้องชมรมมอเตอร์ไซค์ก็เปรยขึ้นมาว่า อยากจะขี่รถไปซาปาดูซักที ใครอยากไปก็ให้มาลงชื่อ ต้องการจำนวนน้อยที่สุดคือ 6 คันถึงจะจัดได้ และอาจจะด้วยความเกรงใจพี่เขา หรืออาจจะอยากลดความเครียดที่มีอยู่นั้นโดยเฉียบพลัน

จึงรีบลงชื่อไปอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ

เส้นทางไปซาปาของเราเริ่มออกเดินทางกันจากน่าน เดินทางกันหนึ่งวันเต็มเข้าเมืองอุดมไทรของลาว แล้วก็ขี่กันอีกหนึ่งวันจนถึงเดียนเบียนฟูในเวียดนาม จากนั้นวันสุดท้ายของการเดินทางจึงจะวิ่งเข้ามาถึงเมืองซาปา รวมเดินทางขามาทั้งสิ้น 3 วัน 2 คืน เส้นทางขับขี่บนภูเขา ขึ้นเขา ลงเขา ทิ้งโค้งไปมานับหลายร้อยโค้ง เป็นระยะทางทั้งสิ้นกว่า 890 กิโลเมตร แต่ระยะขับขี่ในแต่ละวันไม่มากนัก ขี่กันสบายๆวันละ 100-200 กิโลเมตร เวลาขับขี่ก็ไม่เกิน 5-6 ชั่วโมง แถมยังแวะเข้าห้องน้ำกันทุกๆ 1-2 ชั่วโมง (ตามประสาชายหนุ่มสูงอายุ) ทำให้การเดินทางตลอดทริปไม่ลำบากยากเย็นจนเกินไปนัก แม้ว่าตลอดเส้นทางจะคละเคล้าไปด้วยทางฝุ่น ทางเปียก ถนนพัง ไปจนถึงทางขาด แต่อากาศฤดูหนาวที่สดชื่นในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็ทำให้เส้นทางนรกนั้นกลายเป็นสวรรค์ไปได้อย่างเต็มใจ

ผมเลือกใช้รถ Royal Enfield Himalayan ในการเดินทางโดยไม่ได้มีสปอนเซอร์ในการนี้แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นรถรุ่นเดียวที่เหมือนจะเหมาะกับเส้นทางวิบากขนาดนี้ในราคาที่ผมพอจะหาซื้อได้ในภาวะขัดสนของชีวิต ด้วยราคาคันละ 187,000 กับเงินดาวน์สองหมื่นกว่าบาท กับผ่อนต่อเดือนเป็นหลักพัน ทำให้การตัดสินใจของผมไม่ยากนัก Himalayan เป็นรถที่เครื่องยนต์ไม่ใหญ่มาก มีขนาดความจุกระบอกสูบแทบจะเกือบครึ่งเดียวกับรถที่ผมเคยขับอยู่ ทำให้มีความกังวลกับแรงขับของรถว่าจะพอกับการเดินทางไกลที่เต็มไปด้วยทางโค้งเป็นร้อยเป็นพันแบบนี้หรือไม่ และก็กังวลแบบนั้นอยู่ทุกวันจนกระทั่งวันที่เริ่มเอารถออกเดินทาง

ในวันแรกของการขับขี่ของผม ดูเหมือนทุกคนในทริปจะเห็นได้ชัดว่าผมยังไม่ค่อยจะลงรอยกับ Himalayan คันนี้มากนัก ผมเองก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับรถอยู่เกือบวันนึงเต็มๆ ทางบนเขาที่โค้งซ้ายขวาขึ้นลงเขานับร้อย จังหวะที่เข้าไลน์โค้งแล้วต้องบิดอัดเข้าโค้งนั้น ถ้าเคยขี่รถที่เครื่องแรง กำลังฉุดเยอะ ก็จะคุ้นเคยกับการอัดเปิด trottle เพื่อเข้าโค้งโหดๆ แต่กับ Himalayan ที่มีขนาดเครื่องกระจ้อยร่อย เทคนิคการขี่แบบนั้นก็จะทำให้หงุดหงิดใช้ได้ ผมเองก็เป็นแบบนั้นตลอดวันแรกที่ขับขี่ และคิดเปรียบเทียบกับรถที่เคยขี่มาก่อนตลอดเวลา พอเข้าที่พักคืนวันแรกก็เริ่มปล่อยวางความหงุดหงิดนั้นแล้วก็คิดทบทวนวิธีขับขี่ของตัวเองทั้งวันที่ผ่านมา ‘เราไม่ได้ขี่รถแบบที่รถมันเป็น แต่เราพยายามจะให้มันเป็นรถแบบที่เราเคยขี่’ เป็นความคิดที่ลอยขึ้นมาในหัวในระหว่างที่นอนค้างที่อุดมไทรประเทศลาว แล้วก็ตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะขี่รถคันนี้ในแบบที่รถมันเป็น คิดได้แล้วก็เริ่มสนุก คิดว่าพรุ่งนี้เข้าสู่เมืองเดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนาม ต้องสนุกแน่ๆ

ถนนในลาวนั้นโหดร้ายทารุณกว่าฝั่งไทยเยอะ หลุม บ่อ กรวด ทราย มีครบทุกรส แต่พอผมลองขี่รถแบบใหม่ ชีวิตผมก็สนุกกับการขี่รถในเส้นทางแบบนี้มากขึ้น และไม่เครียดแบบที่เคยเป็นมาตลอด

รถ Himalayan ถึงแม้ว่าเครื่องจะไม่แรงก็จริง แต่กำลังส่งดีมาก และข้อได้เปรียบคือรถมีน้ำหนักหนักเบาจัด ผมลองเข้าไลน์ทางโค้งโดยใช้แรงเหวี่ยงของรถมากขึ้นโดยเข้าโค้งให้เร็วขึ้น และต้องอยู่ในไลน์ให้นิ่ง มีสมาธิตอนเข้าโค้งมากขึ้น และใช้แรงเหวี่ยงของรถในจังหวะที่เข้าไลน์โค้งมากกว่าการพึ่งพากำลังเครื่องยนต์เป็นหลัก ปรากฏว่าการเข้าโค้งผมพริ้วได้มากกว่าเดิมมาก ทำความเร็วตอนเข้าโค้งหักศอกได้เร็วมากว่าเดิมเกือบ 2 เท่า และมีความมั่นใจกว่าแบบเดิมเยอะ ทุกคันที่ขับตามผมมาในวันที่สองนี้ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมขี่ได้พริ้วมากกว่าวันแรกเยอะมาก ผมเกาะกลุ่มกับขบวนได้ดีขึ้น และช้ากว่าคันแรกในขบวนจากที่เคยทิ้งกัน 5-10 นาที มาเหลือเพียง 15-20 วินาทีเท่านั้น ทุกคนในทริปเริ่มโล่งอก เพราะเส้นทางที่เหลือจากเดียนเบียนฟูเข้าซาปา จะเป็น leg ที่ยาวที่สุดในทริปนี้คือ 200 กว่ากิโลเมตร ถ้าผมขี่ได้สนุกแบบนี้ ทุกคนในกลุ่มก็จะขี่ได้สนุกขึ้นเป็นแน่

เส้นทางจากหลังด่านของลาวเข้าเดียนเบียนฟูนั้น จัดได้ว่ามีความพังระดับสูงสุดของทริปนี้ ทั้งหลุมในไลน์โค้ง กรวดใหญ่เล็กบนโค้งชันขึ้นเขาลงเขา ใครจะวิ่งเส้นทางนี้ไม่ควรมาหน้าฝนเลย เพราะไม่น่าจะวิ่งได้ ถ้าซ้อนมาหน้าฝนก็ต้องให้คนซ้อนลงเดินจะปลอดภัยกว่า พอเลยเดียนเบียนฟูมา ก็จะผ่านหมู่บ้านเล็กๆเข้ามาตลอดทาง ถนนก็จะพังเป็นระยะๆ เลยมาครึ่งทาง 150 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนเข้าซาปา ถนนเริ่มดีขึ้น ถนนเรียบดีเป็นระยะ แต่โค้งหักฉากไต่ไปตามภูเขาลาดชันมากขึ้นแบบไม่ให้พักหายใจ และไว้ใจไม่ได้เพราะช่วงถนนพัง ถนนกรวด ชอบแอบโผล่มาตอนเผลอ พอจะใช้ความเร็วก็จะโผล่มาทุกทีไป ผมนี่ต้องลากเกียร์สามกันยาวอยู่บ่อยๆตลอดช่วง และที่สำคัญคือรถสวนทางทั้งรถเล็ก รถใหญ่ และรถบรรทุกจะมีมากขึ้นเรื่อยๆตลอดระยะที่เข้าใกล้ซาปา คนท้องถิ่นก็จะมีความชำนาญเส้นทาง และขับขี่รถได้หวาดเสียวอย่างมั่นใจ ทำให้พวกเราต้องขี่รถกันไปก็ต้องเรียงกันเป็นขบวนเกาะกลุ่มกันให้ระเบียบมากขึ้น เพื่อความปลอดภัย

พอเข้าช่วงระยะ 20 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนเข้าเมือง ก็หายสงสัยเป็นปลิดทิ้งว่าทำไมเราถึงต้องดั้นด้นกันมาถึงที่นี่ให้ได้ และทำไมเส้นทางสู่ซาปาถึงเป็นหมุดหมายของนักขี่รถมอเตอร์ไซค์จากทั่วโลก ความกว้างของถนนที่วิ่งลัดเลาะภูเขาที่ลดเลี้ยวไปตามความสลับซับซ้อนที่ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆเริ่มแคบลงจนแทบที่จะพอแค่รถเล็กสองคันสวนกันพอดี แม้ว่าความน่ากลัวในการขับขี่จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ทำให้ทัศนียภาพของการขับขี่นั้นสวยงามอย่างบอกไม่ถูก ภูเขาที่สูงใหญ่ทมึนอยู่ตรงหน้าเป็นแนวเขาไปสุดสายตา กับถนนเส้นเล็กๆที่วิ่งเข้าไปในภูเขาเหล่านั้น ทำให้ความรู้สึกในการขับขี่ ราวกับว่าเรากำลังขี่รถแทรกเข้าไประหว่างภูเขาที่ยิ่งใหญ่สวยงามเหล่านั้นตลอดระยะทางช่วงสุดท้ายก่อนเข้าเขตเมืองซาปา ซึ่งตั้งแทรกตัวอยู่ในระหว่างยอดเขาเหล่านั้น สลับกับก้อนเมฆที่ลอยผ่านไปช้าๆเป็นระยะ

สิ่งแรกที่เรามองเห็นก่อนขี่รถเข้าสู่เมือง อันเป็นจุดหมายตาว่าเรามาถึงซาปาแล้ว ก็คือน้ำตกขนาดใหญ่ ที่มีน้ำไหลเซาะลงมาตามหน้าผาหินที่ตั้งอยู่เกือบจะติดกับถนนที่เราใช้ขี่รถเข้าเมืองกัน หลังจากลัดเลาะผ่านย่านชุมชนอีก 2-3 ช่วง เราก็จะเริ่มค่อยๆแทรกตัวเข้ามาสู่ที่โล่งขนาดใหญ่หน้าโบสถ์สำคัญของเมือง ซึ่งเป็นลานสาธารณะขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่นในวันเสาร์ที่เรามาถึงกัน ซึ่งตรงกับเทศกาลช่วงวันตรุษของเวียดนามพอดี

ซาปาเป็นเมืองเล็กๆในหุบเขา ผมสังเกตอย่างรวดเร็วว่าเป็นเมืองที่มีการวางผังในวันแรกๆของการสร้างเมืองไว้เป็นอย่างดี มีลานสาธารณะอยู่ใจกลางเมือง มีทะเลสาบขนาดใหญ่ไว้เป็นที่พีกผ่อนหย่อนใจและเก็บน้ำใช้ แม้ว่าถนนต่างๆจะมีการงอกเงยกันสะเปะสะปะไปตามธรรมชาติบ้าง แต่ก็ยังเป็นโครงสร้างเมืองที่เอื้อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดี มีขนาดสัดส่วนของเมือง (scale) ที่ไม่ใหญ่ไปนัก แต่ก็สามารถรองรับผู้คนและการพัฒนาขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพได้โดยไม่เสียลักษณะเฉพาะ (charactor) ของเมืองในแบบที่มันเป็น การเดินเที่ยวในซาปา ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ 2-3 วันแบบที่ยังไม่เบื่อ อาหารและข้าวของสินค้าก็มีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ เมืองซาปาเดิมเป็นเมืองของชาวเขาหลายเผ่า จึงมีชาวเขาเอาของมาขายอยู่เต็มเมือง และเดินปะปนอยู่ในฝูงชนอยู่เป็นจำนวนมากตลอดเวลา

ระหว่างที่เดินอยู่บนถนนกลางคืนในซาปา ป้าชาวเขาม้งเดินมาพร้อมกันกางเกงทออยู่ในมือ

ป้า: โอเค? เทนดอลล่าร์

เรา: ไม่มีสิดอลล่าร์ มีแต่เงินบาท

ป้า: เงินบาทโอเค โฟฮันเดรดบาท

เรา: (เอ มันต้องสามร้อยกว่าบาทสิป้า) โน ทรีฮันเดรดบาท

ป้า: โอเค ทรีฮันเดรดบาท

เราเปิดกระเป๋าเงิน ปรากฏว่ามีเงินไทยแค่ 200 บาท

เรา: อ้าว เงินไม่พอ มาใหม่พรุ่งนี้นะ มีแค่ 200 บาท

เราเดินออกไป ป้าแกก็เดินตามมาอย่างไม่ลดละ

ป้า: (มองเราด้วยสายตา ‘แหม่ ไอ้หมอนี่มันร้าย’ ให้กูเดินตามมาขนาดนี้ละ) โอเค โอเค ทูฮันเดรดบาท (ก็ได้วะ)

สรุปว่าซื้อของที่เมืองนี้ ต้องต่อราคากันแบบนี้สินะ

อาหารส่วนใหญ่ที่นี่ที่ได้ทานกัน มีตั้งแต่คุณภาพดีราคาถูก กินกันสิบกว่าคนไม่ถึง 4 พันบาท ไปจนถึงร้านอาหารค่ำในโรงแรมแบบหรูหรา สิบคนราคาก็ยังแค่หมื่นกว่าๆ บาร์เท่ๆ ร้านกาแฟเก๋ๆ ถ้าดั้นด้นหากันจริงๆ ก็มีให้เลือกหลายร้าน ไม่ขัดสนนักเรื่องอาหารการกิน* ถ้าเจอร้านท้องถิ่นตอนเช้า คิดอะไรไม่ออกสำหรับอาหารเช้า ให้สั่งเฝอนำไปก่อนเลย มักตะไม่ผิดหวัง รสชาติอร่อยมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณผงชูรสที่โรยตัวลงไปในน้ำซุปนั่นเอง

การมาซาปา สถานที่ไปเที่ยวที่ห้ามพลาดคือการขึ้นไปบนยอดเขา Fansipan ที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในคาบสมุทรอินโดจีนด้วยความสูง 3,143 เมตร ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องเดินขึ้นเขากัน 2 วันกว่าเพื่อจะไปถึงยอดเขา ปัจจุบันมีรถรางไปต่อรถกระเช้าอย่างสะดวกสบาย สามารถออกไปยอดดอยได้จากในเมืองในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง วิวมองลงมาจากบนยอดเขานั้นสวยราวกับเมืองที่อยู่บนเมฆ ลมพัดแรงจนเมฆลอยย้อนขึ้นไปบนทิวเขาตลอดเวลาเป็นภาพที่แปลกตาอย่างเหลือเชื่อ สมกับที่เพื่อนที่มาด้วยกันในทริปดุผมแทบแย่ บอกว่า ‘มึงมาแล้วต้องไป’ ตอนที่ผมออกอาการขี้เกียจขยับออกจากโรงแรมตอนมันชวน

หลังจากพักอยู่ในซาปาสามคืนจนหายเหนื่อย ก็ได้เวลาของการเดินทางกลับ เราออกเดินทางย้อนเส้นทางเดิมตอนขามาเพื่อกลับไปยังน่าน สิ่งที่ไม่คาดคิดในเช้าวันที่เดินทางกลับคือหมอกที่ลงหนาจัดรุนแรงมาก รุ่นพี่ที่มาด้วยกันที่มีประสบการณ์การขี่รถทั่วโลกมามากกว่าสามสิบปี บอกว่าหมอกแบบนี้เขาเรียกว่า Pea Soup ซึ่งลดทัศนวิสัยเหลือไม่ถึง 10 เมตร เราตัดสินใจอย่างรอบคอบที่จะรอเวลาให้หมอกจางลงบ้าง และแดดเริ่มออกรำไร ก่อนที่จะขี่รถฝ่าหมอกไปบนถนนเล็กๆที่อยู่บนภูเขาในซาปาออกไป เราผ่านความที่สุดของความท้าทายทักษะการขี่รถมาได้ในเช้าวันนั้น ก็ด้วยวินัยและความสามัคคีโดยแท้ การขี่รถใน formation ที่รักษาระยะและความเร็วคงที่ ทำให้การรถทุกคันที่ฝ่าหมอกหนาทึบอย่างเลวร้ายนั้นออกมารอดปลอดภัยได้ทุกคันอย่างโล่งอก

ตลอดการเดินทางของผม ผมเอาเครื่องวัดความดันโลหิตขนาดเล็กพกติดตัวมาด้วยตลอดเวลา และทุกคืนทีผมวัดความดันหลังจากขี่รถก่อนเข้านอน ความดันของผมก็ลดลงไปมากกว่าตอนก่อนเดินทางได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันชัดเจนสำหรับผมในการเดินทางครั้งนี้ว่าการขี่รถมอเตอร์ไซค์สำหรับผม นอกจากจะเป็นความสุข ความสงบ ความตื่นเต้น การผจญภัย และการผ่อนคลายแล้ว อาจจะเป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผมด้วยซ้ำ อาจจะทำให้ผมมีชีวิตที่ยืนยาวได้มากขึ้นถ้าผมเดินทางอย่างรอบคอบและระมัดระวังในความปลอดภัยตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน นอกจากเรื่องของสุขภาพแล้ว ยังได้มีโอกาสเดินทางกับเพื่อนฝูง พี่ น้อง และสัมผัสถึงน้ำใจความอบอุ่นที่ช่วยเหลือกัน ด่าทอล้อเล่นกันไปตลอดทาง เป็นความอบอุ่นของมิตรภาพที่หาได้ยากขึ้นเหลือเกินในสังคมเมืองที่นับวันจะดุดันกันมากยิ่งขึ้นทุกๆวัน

ผมขี่รถมาแล้วในทริปนี้เกือบ 1,300 กิโลเมตร และยังเหลืออีกเกือบ 300 กิโลเมตรก่อนที่จะได้กลับบ้าน แต่ผมไม่รู้สึกเลยว่าระยะทางที่เหลือมันจะไกลเกินอีกต่อไป และผมจะทำให้ทุกโค้งบนถนน เป็นทุกโค้งแห่งความสุขที่เหลือของผม ก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง

*แนะนำร้าน The Hill Station สำหรับบาร์บรรยากาศดี ส่วนร้านกาแฟต้องไม่พลาด Cong Caphe ร้านอาหารจิปาถะ ฝรั่งและสุกี้เวียดนามราคาประหยัด ต้อง Good Morning View และแนะนำ Silk Path Hotel สำหรับอาหารค่ำบรรยากาศหรูหรา ประทับใจ

One comment

  • อ่านแล้วอยากหัดขับมอเตอร์ไซค์เลยครับ

Submit a comment

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s