มากแค่ไหนที่เราใช้ชีวิตอยู่ในเรื่องราว ที่แม้แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องราว
มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ก่อนที่เราจะพิจารณาว่าอะไรเกิดขึ้น เราจะสร้างเรื่องราวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดูดดื่มเคลิบเคลิ้มไปกับมัน จนบางครั้งลืมที่จะพิจารณาด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่แท้จริงคืออะไร เราไม่เคยรู้ตัวจริงๆว่ามากแค่ไหนที่เราเสพติดเรื่องราว เรากลายเป็นมันและเราไม่ได้มีมัน
มนุษย์ มีทางเดินที่เสมือนจะตายตัวในการเป็นของชีวิต เราเลือกเดินทางซ้ำๆเพราะเราถูกออกแบบมาเช่นนั้น สมองของเราทำงานด้วยตรรกะที่ชัดเจน และคงอยู่เอาตัวรอดได้ ก็เพราะการจัดทางเลือกให้อยู่ในรูปแบบซ้ำที่ทำให้มีชีวิตรอด เราจึงมีชีวิตเช่นเดียวกับสมองที่ต้องการจะเอาตัวรอด จนกว่าเราจะค้นพบว่าเรามีมัน แต่เราไม่ได้เป็นมัน
เรื่องราวที่สร้างขึ้นสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการเอาตัวรอดที่สอดคล้องกับวิธีที่สมองทำงาน เราสร้างเรื่องราวเพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่กลายเป็นเรื่องเดิมที่มีอยู่แล้ว กลายเป็นรูปแบบซ้ำในวิธีที่สมองจะรับมือจัดการได้ง่ายเพื่อการเอาตัวรอด การสร้างเรื่องราว จึงเป็นวิธีอัตโนมัติของสมองที่สมบูรณ์แบบเพื่อเก็บเราเอาไว้ในพื้นที่ปลอดภัย เรารู้สึกอบอุ่นและสบายภายใต้โลกของเรื่องราว และไม่ต้องรับผิดชอบกับคนที่เราเป็นที่แท้จริงในฐานะมนุษย์ผู้สร้างความแตกต่าง
โลกของเรื่องราวไม่ได้พาเราไปที่พื้นที่ใหม่ของความแตกต่าง แม้ว่าบางครั้งเรื่องราวจะทำให้เราคล้อยตามว่านี่คือความแตกต่าง แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป จะเห็นได้ว่ามันก็ไม่ต่างกับ ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’ มันก็คือนิยายเรื่องเดิมที่เคยได้ยินมาตลอดชีวิตนั่นแหละ นิยายเรื่องเดิมที่ต้องมีคนหนึ่งถูก อีกคนผิด มีคนดีคนเลว และแน่นอน ส่วนใหญ่เราก็เลือกจะอยู่ด้านหนึ่งของเรื่องราวที่เราสร้างขึ้น และก็พร่ำบ่นกับทุกสิ่งที่เหลือที่ไม่ใช่ตัวเรา
ยิ่งเรื่องราวใหญ่ขึ้น การพร่ำบ่นก็มากขึ้นตามไปด้วย เราคงคุ้นเคยกับการดูละครทีวีน้ำเน่าซักเรื่องนึงแล้วก็ฟูมฟายไปกับมัน พร้อมกับพร่ำบ่นอย่างเมามันกับตัวร้ายในเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องเมียหลวงเมียน้อย มันก็จะสนุกมากที่เราจะด่าเมียน้อยและเข้าข้างเมียหลวง แต่จะมีซักกี่ครั้งที่เราสังเกตว่าเรามีความเพลิดเพลินแค่ไหนกับการกล่าวโทษเมียน้อยมากกว่าการชื่นชมเมียหลวง มากแค่ไหนที่เราเสพติดการพร่ำบ่นและโลกของเรื่องราวที่มากับการพร่ำบ่นนั้น มากจนเราไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราได้จาการพร่ำบ่นนั้นก็คือการทำให้ผู้อื่นเป็นผู้ผิดและเราเป็นผู้ถูก มากแค่ไหนที่เราต้องการเป็นผู้ถูกจนลืมสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และหลงไหลดื่มด่ำไปกับเรื่องราวเหล่านั้น
สิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น เหตุผลของการมีอยู่ของสรรพสิ่ง หรือแม้กระทั้งตัวเรา ก็อาจพิจารณาจากมุมมองหนึ่งได้ ว่าล้วนแล้วเป็นเรื่องราวที่เราสร้างขึ้นเพื่อการอยู่รอด เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราเคยอธิบายตัวเราว่าเป็นใครจากอดีตที่เราคิดว่าเราเป็น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือเป็นอีกเรื่องราวที่เราสร้างขึ้นเพื่อให้เราคงอยู่และเอาตัวรอด เราเคยให้เหตุผลนับร้อยอย่างเพื่อจะอธิบายว่าโลกแบน และไม่ควรเดินทางออกไปไกลจากฝั่งมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะตกขอบโลก ปัจจุบันเรารู้แล้วว่าเหตุผลของสรรพสิ่งที่บอกว่าโลกแบนนั้นมันไม่เป็นความจริง แต่ในยุคหนึ่งเราก็เชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยว่ามันจริง และมนุษย์ก็ใช้ชีวิตอยู่ในเหตุผลนั้นอย่างเคลิบเคล้มดูดดื่ม จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งออกจากโลกของเรื่องราวที่สร้างขึ้น และออกเดินทางเพื่อจะสืบค้นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นคืออะไร ในวันที่เขาค้นพบว่าโลกกลมนั้น พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของความเป็นไปได้ใหม่ก็ถูกเปิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ทวีปใหม่ๆถูกค้นพบ และแผนที่ของความจริงก็แทบจะถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด การค้าขายและการจัดหมวดหมู่ชาติพันธุ์มนุษย์เปลียนแปลงไป และแทบจะเรียกได้ว่า โลกใบเดิมที่ตายตัวกับเรื่องราวของมันแทบจะสลายไปในอากาศในพริบตา
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้นที่จะพาเราไปยังพื้นที่ใหม่ของความเป็นไปได้ วินาทีที่เราสามารถแยกแยะเรื่องราวออกจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้ วินาทีนั้นเราจะได้มีโอกาสรับมือจัดการกับชีวิตในโลกของสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่เราเริ่มมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็นจริงๆ เราจะเริ่ม ‘มี’ สมองของเราและไม่ได้ ‘เป็น’ สมองของเรา เราจะได้ควบคุมให้สมองเปิดรับเส้นทางเดินใหม่และรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องสอดคล้องกับรูปแบบเดิมๆที่เคยเป็น วินาทีนั้นที่ความเป็นไปได้ใหม่ๆจะเปิดขึ้น เสมือนเราเริ่มออกเดินไปในเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยเดินมาก่อน แน่นอน มันจะไม่สะดวกสบายเพราะเราไม่มีทางรู้ว่ามีอะไรรอเราอยู่ตรงหน้า แต่เราก็จะตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความหวัง ความสุขเบิกบานในแบบเดียวกับการเดินทางท่องเที่ยวไปในดินแดนใหม่ที่เราไม่รู้จัก
และเช่นเดียวกับการผจญภัย มันจะเป็นการผจญภัยที่ว่างเปล่ามากหากเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายของการเดินทางนั้นว่าเราจะค้นหาสิ่งใด หรืออะไรจะเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางนั้น เราจึงต้อง ‘ประกาศ’ เป้าหมายนั้นในฐานะของความเป็นไปได้ในวินาทีที่เส้นทางใหม่นั้นถูกเปิดขึ้น และก็แทบจะในทันทีเหมือนกันที่เราประกาศความเป็นไปได้นั้น สมองก็จะเข้ามาทำหน้าที่ของมันทันที หน้าที่เดียวของมันก็คือทำทุกอย่างที่จะให้มันได้อยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด และสิ่งเดียวที่สมองจะสร้างได้ภายใต้เครื่องจักรแห่งตรรกะที่มันเป็นก็คือสร้าง ‘เหตุผล’ วัตถุประสงค์ของเหตุผลก็มีเพียงอย่างเดียวคือ ‘หยุด’ เราจากความเป็นไปได้ใหม่ที่เปิดขึ้น หยุดเราจากความคิดสร้างสรรค์ หยุดเราจากความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเราในฐานะผู้สร้างและให้กำเนิดชีวิตของเรา และเส้นทางเดียวที่เหตุผลจะพาเราไปก็คือพาเรากลับไปยังที่ๆที่เรามา เส้นทางเดิมที่เราเคยเดิน และสมองมันก็ฉลาดพอที่จะตกแต่งเส้นทางนั้นดูแปลกตาไปเล็กน้อย พอให้เราเชื่อว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางใหม่ของชีวิต แท้จริงแล้วเราไม่ได้ไปที่ไหนเลยในโลกของเหตุผล อย่างมากก็เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ที่สบายและคุ้นเคย และสุดท้ายเราก็กลับมาที่เดิม
มีสิ่งเดียวที่จะพาเราออกจากเหตุผลก็คือการที่เราตั้งใจจะทำในสิ่งที่เราบอกว่าจะทำ และก็ลงมือทำตามนั้น เป็นการที่เราให้เกียรติคำพูดของเราที่เราให้ไว้ การให้เกียรติคำพูดจะพาเรากลับไปที่ความเป็นไปได้ที่เราประกาศไว้และพาเราไปเหนือเหตุผลทั้งปวง เป็นวิธีเดียวที่เราจะเอาชนะสมองที่จะนำเรากลับที่เดิม ที่ๆสบายที่เราเคยอยู่ เป็นวิธีเดียวที่จะพาเราไปสู่ความคิดใหม่ ความเป็นไปได้ใหม่ ที่เราได้สร้างขึ้น ในฐานะการเป็นที่แท้จริงของมนุษย์
นอกจากเหตุผลที่สมองเราสร้างขึ้นแล้ว สมองของเราก็ฉลาดพอที่จะเอาเหตุผลจากมนุษย์คนอื่นๆมาหยุดเราด้วย หลายครั้งที่เราต้องยอมจำนนกับเหตุผลของคนรอบข้าง เพื่อน หรือครอบครัวของเรา และสมองก็ทำงานอย่างแยบยลที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเหตุผลของพวกเขามันช่างจริงเสียนี่กระไร สมองมนุษย์สมรู้ร่วมคิดกันในการที่จะทำให้ความสามารถในการสร้างสิ่งใหม่ของมนุษย์อยู่ในระดับต่ำ เพียงเพื่อให้มนุษย์ชาติสามารถเอาตัวรอดและคงอยู่ได้ในฐานะแค่สิ่งมีชีวิต บ่อยครั้งแค่ไหนที่คุณหัวเราะเยาะกับความคิดใหม่ๆของใครซักคนที่อาจจะสร้างความแตกต่างบนโลกใบนี้ มนุษย์คนแรกที่ประกาศว่า ‘เราจะเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์ในสิบปีจากนี้’ ในวันที่เราไม่เคยมีมนุษย์เดินทางพ้นจากชั้นบรรยากาศของโลกเลยนั้น ก็เคยถูกหัวเราะเยาะและหาว่าบ้า เช่นเดียวมนุษย์คนแรกที่ประกาศว่า ‘อินเดียจะเป็นเอกราชจากอังกฤษ’ หรือ ‘วันหนึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีเป็นคนผิวดำ’ สุดท้ายทุกอย่างที่พวกเขาเหล่านั้นประกาศมันก็เกิดขึ้นจริงท่ามกลางเหตุผลและความไม่เห็นด้วยของคนมากมาย พวกเขาทำให้ความเป็นไปได้ใหม่เหล่านั้นเป็นจริงได้อย่างไร
พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์ที่มีความพิเศษเหนือมนุษย์คนอื่นเลย มีสองสิ่งเท่านั้นที่เขาทำเพื่อให้ความเป็นไปได้ใหม่นั้นเกิดขึ้น สิ่งแรกคือการที่เขาให้เกียรติคำพูดของเขาและกลับไปเป็นหรือทำสิ่งที่เขาประกาศไว้ว่าจะเป็นหรือจะทำทุกครั้งที่เขาถูกหยุดด้วยเหตุผล และสิ่งที่สองคือการโน้มน้าวผู้คนให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ปรากฏขึ้นในฐานะของโลกอีกโลกหนึ่งที่รออยู่ตรงหน้า มันจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าโลกนี้กลม มันจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าเราไปเหยียบดวงจันทร์ได้ มันจะเป็นอย่างไรบ้างถ้าความเท่าเทียมกันของมนุษย์เกิดขึ้นในอินเดียหรือในสหรัฐอเมริกา วิธีเดียวที่จะหยุดเหตุผลของผู้คนรอบข้างจากที่หยุดเราจากสิ่งที่เราสร้างขึ้น ก็คือโน้มน้าวพวกเขาไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่นั้น และไม่ใช่การชักจูง บังคับ หรือพูดด้วยเหตุผลที่หักล้างกัน การโน้มน้าวจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญและทรงพลังในการพามนุษย์ในฐานะบุคคลและสังคมไปสู่โลกใบใหม่ที่เราสร้างขึ้นได้
ดังนั้น หนทางเดียวที่เราจะสร้างสิ่งใหม่และความเป็นไปได้ใหม่ๆในชีวิตเรา คือการแยกแยะเรื่องราว ออกจากสิ่งที่เกิดขึ้น มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างที่มันเป็นและยอมรับมันอย่างตรงไปตรงมา ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง สมองจะถูกบังคับให้เดินไปในเส้นทางใหม่ที่ไม่ใช่รูปแบบที่ซ้ำเดิมและเราจะมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่เปิดขึ้น เราก็จะประกาศความเป็นไปได้นั้นออกมาเพื่อกำหนดทิศทางที่เราจะเดินและในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเหตุผลก็จะเกิดขึ้นมากมายเพียงเพื่อจะหยุดเรา นอกจากเหตุผลของเราแล้วก็ยังมีเหตุผลของคนอื่นๆด้วยที่จะหยุดเรา สิ่งเดียวที่เราจะทำก็คือการกลับไปเป็นคำพูดของเราที่เราประกาศไว้ และโน้มน้าวผู้อื่นไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่นั้นด้วยกัน
และด้วยวิธีนี่เอง ที่เราจะได้เริ่มใช้ชีวิตในแบบที่เราเป็นต้นกำเนิดของชีวิตเราเอง เราจะได้รับผิดชอบกับชีวิตไม่ใช่กลไกเอาตัวรอดของสมองของเรา วิธีนี้เองที่เราจะไม่ได้เป็นเครื่องจักรเอาตัวรอด ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อเราเริ่มต้นแยกแยะเรื่องราวออกจากสิ่งที่เกิดขึ้น ได้มีโอกาสเป็นตัวเราที่แท้จริงในโลกของความเป็นจริง และได้ใช้ชีวิตที่เรารักอย่างมีพลัง
ดำรงชีวิตอย่างมีศักด์ศรี สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเพราะเราเป็นเจ้าของชีวิต พร้อมที่จะเผชิญภัยในทุกรูปแบบ สุขหรือทุกข์ในทุกบริบทบ่อยครั้งที่เรากำหนดจะเป็นเช่นนั้น
อีกหนึ่งตำนานของชีวิตที่เปี่ยมด้วยรักและพลังดังคำนำเบื้องต้นของคุณท่าน
อาภาพรรณ
Thanks a lot for your good message. Fact is the most dangerous blind as your mind which can lead you to the fire anytime. Love ya dear.
สมองคนเรา ถูกออกแบบมาให้เอาตัวรอด จริงๆ
ผมมีความเชื่อ เช่นนั้นตลอด
แล้วมันก็เป็นข้อเท็จจริง จริงๆเสียด้วย